หนึ่งในนิยายขายดีไม่กี่เรื่อง ที่กลายเป็นหนังดีทางทีวี
นำแสดงโดย โรเบิร์ต ดูวาล, ทอมมี่ ลี
โจนส์
กำกับการแสดงโดย ไซม่อน วินเซอร์
หนังมินิซีรี่ส์ความยาว
6 ชั่วโมง สำหรับฉายทางโทรทัศน์ สร้างจากนวนิยายขายดีความยาว 835 หน้า ของ ลาร์รี่
แม็คเมอร์ธี ได้รับรางวัลเอ็มมี่
อันเทียบได้กับรางวัลตุ๊กตาทองสำหรับภาพยนตร์โทรทัศน์ถึง 7 รางวัล
ผู้แต่งเขียนเรื่องนี้เป็นบทภาพยนตร์ไว้ตั้งแต่ปี
พ.ศ. 2514 และทาบทาม จอห์น เวย์น
มาเป็นผู้แสดงนำ แต่ จอห์น เวย์น ไม่ยอมเล่น เรื่องก็เลยถูกเก็บขึ้นหิ้งไว้เฉยๆ
อีก10 ปีต่อมา ผู้แต่งตัดสินใจหยิบมาปัดฝุ่น ขยายความขึ้นเป็นนวนิยาย
กลายเป็นหนังสือขายดีอยู่หลายปี จนได้รับรางวัลพูลิตเซอร์เมื่อปี พ.ศ. 2529
หลังจากนั้นอีก 3 ปี ก็ได้กลายเป็นภาพยนตร์อย่างที่ตั้งใจ
เนื้อเรื่องกล่าวถึง
2 คู่หูอดีตนายตำรวจของหน่วย เท็กซัส เรนเจอร์
ซึ่งเมื่อปลดประจำการมาลงทุนประกอบอาชีพซื้อขายปศุสัตว์ร่วมกัน
อยู่ในเมืองชายแดนเล็กๆเงียบๆ ชื่อว่า โลนซัม เดิฟ ได้สักพัก
ก็เริ่มรู้สึกเบื่อหน่าย อยากจะหาอะไรที่สนุกตื่นเต้นท้าทายมาทำอีกสักครั้งก่อนแก่
พอดีมีเพื่อนอีกคนหนึ่ง มาเล่าให้ฟังว่า
ที่เขตมอนทาน่าซึ่งอยู่ห่างออกไปทางตะวันตกเฉียงเหนือ 4,000 กิโลเมตร
เป็นดินแดนแห่งขุนเขาและทุ่งหญ้าอันเขียวชอุ่ม น้ำท่าอุดมสมบูรณ์ เปรียบเหมือนสวรรค์บนดิน ข้อสำคัญยังไม่มีใครเคยเข้าไปทำไร่ปศุสัตว์เลยสักรายเดียว
สองคู่หูจึงเห็นว่า
โอกาสที่จะได้ทำอะไรสนุกๆและท้าทายอีกครั้งหนึ่งมาถึงแล้ว
รีบชวนสมัครพรรคพวกที่รู้ใจกัน จัดเตรียมเสบียงกรังให้พร้อม
ต้อนฝูงม้าและวัวเดินทางไปตั้งหลักใหม่กันที่มอนทาน่ากันดีกว่า
การต้อนฝูงปศุสัตว์ระยะทางไกลจากเท็กซัสถึงมอนทาน่า ที่ต้องใช้เวลานานข้ามปีจึงเริ่มขึ้น
ระหว่างการเดินทางทุกคนต้องฝ่าฟันอุปสรรคและอันตรายมากมาย
ทั้งที่คาดไว้แล้วล่วงหน้าและคาดไม่ถึง ไม่ว่าจะจากธรรมชาติ สัตว์ร้าย
อินเดียนแดงที่ไม่เป็นมิตร และโจรผู้ร้ายที่อำมหิตโหดเหี้ยม
กว่าจะถึงที่หมายได้ ก็ต้องพบกับความสูญเสียไปไม่น้อย
ตลอดเรื่อง ผู้ชมจะได้เข้าถึงความรู้สึกของตัวละครหลักแต่ละคน ที่มีอุปนิสัยแตกต่างกัน
แต่ด้วยความยากลำบากของการดำรงชีพในยุคนั้น
ทำให้ทุกคนไม่ว่าผู้ชายหรือผู้หญิงต้องทนทรหด และสามัคคีกันเข้าไว้เพื่อให้ผ่านพ้นความยากลำบากไปได้
แต่จะไม่ยอมปล่อยให้ใครทำผิดกฎกติกามารยาท (ของยุคนั้น
ที่หลายข้อก็ไม่เหมือนยุคนี้) เป็นอันขาด
จะเล่ามากกว่านี้
ก็เกรงว่าจะยาวเป็นร้อยหน้าตามหนังสือครับ สรุปสั้นๆเรื่องจบลงด้วยว่า
พอถึงมอนทาน่าแล้ว สองคู่หูมีอันต้องเดินทางไกลกลับมาเท็กซัสด้วยกันตามลำพัง
ด้วยแรงจูงใจและสภาพการณ์ที่แตกต่างจากเมื่อตอนขาไปโดยสิ้นเชิง
ไม่สามารถอยู่ตั้งหลักแหล่งใหม่ที่มอนทานา
ร่วมกับสมรรคพรรคพวกอย่างที่ชวนกันไว้แต่แรก (แต่ไม่ใช่เพราะลืมอะไรไว้นะครับ
อยากทราบโปรดติดตามดูกัน)
Lonesome Dove เป็นหนังที่ถอดความจากนวนิยายต้นฉบับได้อย่างตรงไปตรงมาและครบถ้วนที่สุด
(เป็นเหตุผลหนึ่งครับที่ทำให้หนังยาวถึง 6 ชั่วโมง)
และถ่ายทำบนสถานที่ที่ตรงกับคำบรรยายตามท้องเรื่องมากที่สุด
รวมไปถึงรายละเอียดของการแต่งกาย บ้านช่อง สังคมและวิถีชีวิต
ก็เป็นไปตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์ของยุคนั้น
ที่ปรากฏอยู่หรือมีบันทึกไว้มากที่สุด โดยไม่สนใจแต่งเติมสีสันหรือความสวยงามเกินจริงเพื่อดึงดูดผู้ชมเลยแม้แต่น้อย
เพราะเพียงเนื้อหาของเรื่อง ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้อยากดูไปเรื่อยๆจนจบ
จะมีข้อด้อยบ้าง ก็เพียงการใช้สเปเชี่ยลเอ็ฟเฟ็คท์
ที่ดูเหมือนว่าลงทุนน้อยไปหน่อยครับ แต่นอกนั้นทุกอย่างเหมือนจริงสุดๆ
ไม่เชื่อลองดูตอนที่ต้องหาทางดึงลูกธนูออกจากขาพระเอกนะครับ
รับรองใจไม่แข็งจริงดูได้ไม่ตลอดแน่
ดารานำทั้งสอง
เล่นได้สมบทบาทอย่างยิ่งครับ โดยเฉพาะ โรเบิร์ต ดูวาล
เด่นมาก ในบทคาวบอยเจ้าชู้อารมณ์ดีแต่แข็งแกร่งบึกบึน
ฝ่าฟันทุกสถานการณ์ได้อย่างรอบคอบใจเย็น มองโลกในแง่ดีเสมอ แม้ในวาระสุดท้ายของชีวิต
ส่วน ทอมมี่ ลี โจนส์ นั้น ขึงขังเอาจริงเอาจัง
ข้างนอกดูเหมือนเย็นชา แต่ข้างในกลับอ่อนไหวและเต็มไปด้วยน้ำใจ
ทั้งสองเป็นคู่หูมิตรแท้ที่เคารพในความแตกต่าง และไม่เคยทอดทิ้งกัน
ดนตรีประกอบทั้งหมดเป็นฝีมือของ
บาซิล โพเลดูริส (ผู้เคยฝากฝีมือไว้ก่อนหน้านี้แล้วในหนังเรื่อง โคนันคนเถื่อน และ
โรโบค็อบ) จัดเป็นเพลงหนังคาวบอยที่เรียบๆ
ไม่โฉ่งฉ่างอลังการตามประเพณีของหนังคาวบอยรุ่นเก่าๆ
แต่ก็มีความไพเราะและให้อารมณ์สอดคล้องกับเนื้อเรื่อง เป็นหนึ่งในเจ็ดรางวัลตุ๊กตาทองโทรทัศน์ที่หนังเรื่องนี้ได้รับ
หากจะมีอุปสรรคในการดู
Lonesome
Dove ก็คงมีเพียงอย่างเดียวครับ คือเรื่องเวลา
แต่ต้องบอกว่าทุกนาทีคุ้มค่าครับ
ถือเป็นหนังคาวบอยยุคฟื้นฟูที่ดีที่สุดเรื่องหนึ่ง
และเป็นอีกบทหนึ่งของตำนานการพิชิตตะวันตก ที่ท่านผู้สนใจไม่ควรมองข้าม
มาร์แชลต่อศักดิ์
ธันวาคม 2549