วายแอ็ท เอิ๊ร์ป มือปืนผู้คงกระพัน


ในคุยเฟื่องเรื่องคาวบอยครั้งก่อน ผมได้เกริ่นถึงมือปืนที่ผมเชื่อว่าน่าจะได้รับตำแหน่งพระเอกยอดนิยมตลอดกาลสำหรับวงการนักเลงหนังคาวบอยและลูกทุ่งตะวันตก

เป็นผู้ที่มีตัวตนจริงๆ และมีชีวิตบู๊โลดโผนผ่านการดวลแบบหูดับตับไหม้มาหลายครั้ง แต่ไม่เคยต้องบาดเจ็บสักครั้งเดียว

แถมอายุยืนที่สุดในบรรดามือปืนยุคเดียวกันเสียด้วย โดยแก่ตายไปเองเมื่อตอนอายุ 81 

มีคนนำประวัติไปสร้างเป็นหนังหลายเรื่อง ทั้งจริงบ้างโม้บ้าง (ส่วนใหญ่ก็คงจะโม้นั่นแหละครับ มากบ้างน้อยบ้างเท่านั้น แต่ก็หลอกเอาตังค์ฝรั่งด้วยกันเองไปได้โข รวมทั้งคนไทยอย่างผมและอีกหลายๆท่านแถมไปด้วย) 

นอกจากหนังแล้วยังมีหนังสือและบทความต่างๆทั้งในเชิงสาระและบันเทิงอีกมากมาย ทั้งในภาคภาษาฝรั่งและภาษาไทยด้วยอีกเช่นกัน
  

คงไม่ต้องชักแม่น้ำให้ยืดยาวเกินไปนะครับ ขอแนะนำให้ท่านรู้จักกับ วายแอ็ท เอิ๊ร์ป กันอีกครั้งนึง 

ว่ากันตามจริงแล้ว ประวัติชีวิตทั้งหมดของ วายแอ็ท เอิ๊ร์ป สามารถดูจากหนังเรื่องล่าสุดที่ใช้ชื่อเรื่องเดียวกัน สร้างเมื่อปี ค.ศ.1994 มี เควิน คอสท์เนอร์ เล่นเป็น วายแอ็ท เอิ๊ร์ป เคยลงโรงแล้วในบ้านเรา และมีฉบับหนังแผ่นด้วย 


หนังทำได้ละเอียดดีครับ ถึงจะมีหลายประเด็นที่ไม่ตรงหลักฐานจริงบ้าง แต่โดยรวมก็ถือว่าเป็นหนัง วายแอ็ท เอิ๊ร์ป ที่บรรยายประวัติได้ครบถ้วนที่สุดตั้งแต่มีการสร้างกันมา 

พูดถึงเรื่องจริงไม่จริง ตรงไม่ตรงแล้วนี่ คงไม่มีใครรู้จริงทุกอย่างหรอกนะครับ 


ผมว่าต่อให้ลองเรียกวิญญาณ วายแอ็ท เอิ๊ร์ป มาเข้าทรง หรือเล่นผีถ้วยแก้วเชิญแกมาสัมภาษณ์ แกก็จำเรื่องราวในชีวิตของแกทั้งหมดไม่ได้หรอก หรือถึงบอกว่าจำได้ได้เราก็ไม่รู้ว่าแกโม้อีกหรือเปล่าอยู่ดี

ต่อให้ลงทุนไปหอสมุด ค้นคว้าหนังสือพิมพ์หรือจดหมายเหตุต่างๆมาดู ก็ยังขึ้นอยู่กับว่าคนเขียนบันทึกได้แม่นสักเท่าใด ยิ่งถ้าเป็นหนังสือพิมพ็แล้วละก็ เราๆท่านๆก็พอรู้กันอยู่นะครับว่าเชื่อได้สักแค่ไหน 

ที่กล่าวเช่นนี้ ก็เพราะขนาดนักเขียนชีวประวัติของ วายแอ็ท เอิ๊ร์ป คนแรกที่ชื่อ สจ๊วต เล้ค (Stuart Lake)ในหนังสือเรื่อง Wyatt Earp : Frontier Marshal ที่เคยขายดิบขายดีเมื่อพิมพ์ครั้งแรกในปี ค.ศ.1931 นั้น ยังยอมรับว่า 


เมื่อแกไปสัมภาษณ์ วายแอ็ท เอิ๊ร์ป ที่เวลานั้นอยู่ในวัย 70 กว่าแล้ว แกก็ถามนำ และใช้วิธีที่แกเรียกในภาษาของแกว่า Put words in a mouth of the aging lawman 

หรือแปลเป็นไทยว่า ยัดคำพูดใส่ปากมือปราบแก่ๆ หลายครั้งเหมือนกัน 


หนังสือชีวประวัติเล่มแรกของ
วายแอ็ท เอิร์ป
ออกตีพิมพ์เมื่อปี ค.ศ.1931

ดังนั้น ที่ผมจะคุยต่อไปนี้ ก็ต้องมีทั้งจริงโม้บ้างเช่นเดียวกัน แล้วแต่ว่าได้ข้อมูลมาจากแหล่งใด  คงไม่ถือสากันนะครับ เพราะตั้งใจจะให้เป็นเรื่องบันเทิงคดี มากกว่าเป็นการชำระประวัติศาสตร์ 


บางตอนฟังดูแล้ว ก็จะปรากฏอิทธิฤทธิปาฏิหารย์ ค่อนข้างเหลือเชื่อไม่น้อยเลยละครับ 

วายแอ็ท เอิ๊ร์ป ตอนเกิดมีชื่อเต็มๆว่า วายแอ็ท เบอร์รี่ สแต๊ป เอิ๊ร์ป (Wyatt Berry Stapp Earp) มีเชื้อสายเป็นชาวสก๊อต ปู่และพ่อเป็นนักกฎหมาย เดิมตั้งรกรากอยู่ในรัฐ เคนตั๊คกี้  


แต่ นิโคลัส เอิ๊ร์ป ผู้เป็นพ่อหันมาบุกเบิกเรื่องเกษตรกรรมในภายหลัง และย้ายถิ่นฐานไปอยู่ที่รัฐอิลลินอยส์ 

หลังจากนั้น นิโคลัส เอิ๊ร์ป ได้เข้าร่วมรบในสงครามแม็กซิกัน พอสงครามเลิกกลับมาบ้าน ก็ตั้งชื่อลูกชายคนใหม่ซึ่งเกิดเมื่อวันที่ 19 มีนาคม ค.ศ.1848 ตามชื่อผู้บังคับการของตัวเองเมื่อครั้งไปรบนั้น ด้วยความภูมิใจอย่างที่สุดว่า วายแอ็ท เบอร์รี่ สแต๊ป (ส่วนลูกชายจะภูมิใจด้วยหรือเปล่านั้น ก็น่าสงสัยอยู่

วายแอ็ท มีพี่ชาย 3 คนได้แก่ นิวตั้น, เจมส์ และ เวอร์จิล มีน้องชาย 2 คนได้แก่ มอร์แกน และ วอร์เรน น้องสาวอีก 1 คนชื่อ แอดีเลีย



วายแอ็ท เอิ๊ร์ป (ซ้ายมือ) และพี่น้อง (รูปเล็กทางขวา)
 ได้แก่ เจมส์ เวอร์จิล มอร์แกน และ วอร์เรน
(ขาด นิวตัน พี่ชายคนโต และแอดีเลีย น้องสาว)

พี่ชายคนหนึ่งคือ เวอร์จิล และน้องชายที่ชื่อ มอร์แกน นั้น เมื่อโตแล้วก็ยังใกล้ชิดกัน และใช้ชีวิตผจญภัยดวลปืนกับเหล่าร้ายอย่างดุเดือดร่วมกันอีกด้วย 

โดยทั้งสองได้เข้าร่วมแจมกับวายแอ็ท ในการดวลครั้งประวัติศาสตร์ ที่คอกสัตว์ชื่อว่าโอเค คระราล (OK Corral) เมืองทูมบ์สโตนในรัฐอริโซนา เมื่อปี ค.ศ.1881 (แล้วจะขยายความอีกทีนึงครับเมื่อเนื้อเรื่องเดินไปถึง

พ่อของวายแอ็ทได้ย้ายนิวาสถานอีกหลายหน ถึงปี ค.ศ.1861เกิดสงครามกลางเมืองขึ้น พี่ชายทั้ง 3 ได้ออกรบ ส่วนวายแอ็ทไม่ได้ไป เนื่องจากอายุเพิ่ง 12 ขวบ 


แต่วายแอ็ทก็ไม่ยอมอยู่เฉย ตอนเย็นเมื่อเสร็จงานในไร่แล้ว ก็จะนำทั้งปืนสั้นและยาวของพ่อมาฝึกฝนจนแม่นยำ โดยใช้อีแร้งกับกระต่ายป่าเป็นเป้า 

พออายุ 17 ก็ไปรับจ้างขับรถม้าโดยสารระหว่างเมือง ลอส แองเจลีส กับ ซาน เบอร์นาร์ดิโน  

ความที่ฝีมือดีและขยันขันแข็ง วายแอ็ทจึงได้รับความไว้วางใจ ให้ไปขับรถโดยสารสายอริโซนา ซึ่งต้องเสี่ยงภัยกับโจรและอินเดียนแดงเผ่าอปาชี ผู้ดุร้ายและโหดเหี้ยม  

ปรากฏว่า วายแอ็ทใช้ฝีมือแม่นปืนทั้งสั้นและยาว คุ้มครองรถม้าให้อยู่รอดปลอดภัยได้ทุกเที่ยว และก้าวหน้าในอาชีพไปเรื่อยๆ 


จนเมื่ออายุยังไม่ถึง 20 ก็ได้เป็นถึงหัวหน้ากองสอดแนมในการรบกับอินเดียนแดง ให้กับกองทหารม้าสหรัฐฯประจำภาคตะวันตกเฉียงใต้ 

หลังจากย้ายกลับไปอยู่มิสซูรี่ และโชคร้าย ต้องสูญเสียภรรยาสาวที่เพิ่งแต่งกันใหม่ๆ ไปด้วยโรคไทฟอยด์ วายแอ็ทก็ตัดสินใจกลับออกมาผจญภัยในทุ่งกว้างอีกครั้ง 


เริ่มจากสมัครเข้าเป็นอาสาล่าควาย เดินทางไปกับคณะสำรวจของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่กำลังทำแผนที่ในแถบรัฐแคนซัส

ค่าจ้างในขณะนั้นคือปี ค.ศ.1870 ตกวันละ 35 เหรียญ บวกด้วย 10 เซ็นต์ต่อปอนด์สำหรับเนื้อควาย นับว่าไม่เบาทีเดียวเลยนะครับ 

หลังจากโปรเจ็คท์ทำแผนที่จบลง วายแอ็ทก็พบว่าตัวเองติดใจอาชีพล่าควายเสียแล้ว และยังได้เพื่อนใหม่ที่ถูกอัธยาศัยระหว่างการล่าควายมาด้วยคนหนึ่ง มีชื่อว่า แบ๊ท ม้าสเตอร์สัน (Bat Masterson) 


ทั้ง 2 ยังไม่หายมัน ตกลงจับมือกันเป็นคู่หูฟรีแลนซ์ ออกล่าควายกันแค่ 2 คนต่อไป 

การล่าควายในสมัยนั้นปกติจะทำเป็นทีมมีอย่างน้อย 8 คน เพื่อแบ่งกันทำหน้าที่ออกตามรอย ยิง ถลกหนัง แล่เนื้อ ตากแห้ง และบรรทุกเกวียนขับรถไปส่งตลาด 

วายแอ็ทกับแบ๊ทตัดสินใจแบบคิดใหม่ทำใหม่ (คือคิดนอกคอกไม่เหมือนคนอื่น) เปลี่ยนเป็นทำทุกอย่างครบวงจรกันเองแค่ 2 คน

ตอนแรกก็มีแต่คนหัวเราะเยาะว่า จะไปได้สักกี่น้ำ แต่ในที่สุดก็หยุดหัวเราะ เมื่อพบว่า นอกจากทั้งคู่จะทำสำเร็จแล้ว ยังส่งเนื้อควายเข้าตลาดได้มากกว่าทีมอื่นถึง 3 เท่า ร่ำรวยขึ้นแบบข้ามคืน 

วายแอ็ทไม่ได้เพียงคิดนอกกรอบเรื่องการบริหารจัดการแต่เพียงอย่างเดียว ยังได้กระทำสิ่งที่ถ้าเป็นสมัยนี้ก็ต้องใช้คำว่า แปรรูป ด้วย 


แต่เดิมนั้น ทีมล่าควายจะขี่ม้าไล่ตามยิงควาย ทำให้ฝูงควายแตกตื่นหนีไปหมดอย่างรวดเร็ว และนักล่าส่วนใหญ่จะใช้แต่ปืนไรเฟิลช้าร์ปส์ (Sharps) ซึ่งหนักและถีบแรงมาก

วายแอ็ทกับแบ๊ท เปลี่ยนเป็นใช้วิธีย่องเท้าเข้าหาให้ได้ระยะยิงใกล้ที่สุด และใช้ปืนลูกซองซึ่งเบา และยิงได้คล่องตัวกว่า สามารถส่องตูมๆล้มได้หลายตัว กว่าควายที่ยังไม่ถูกยิงจะเริ่มได้กลิ่นเลือดแล้วหนีไป 

อธิบายเพิ่มนิดนึงว่า ควายอเมริกันไม่ตกใจเสียงปืนนะครับ จะตกใจต่อเมื่อมีอะไรมาวิ่งไล่ หรือได้กลิ่นเลือดเท่านั้น ส่วนควายบ้านเรานั้น สงสัยต้องไปถามนายฮ้อยเคนดูก่อน 

เมื่อล่าควายด้วยกันจนรวยพอแล้ว ทั้งคู่ก็บอกลาจากกัน ตอนนั้นเป็นปี ค.ศ.1873 วายแอ็ทอายุย่างเข้า 25 ชักคิดอยากจะทำอย่างอื่นบ้าง จึงออกเตร็ดเตร่ไปตามเมืองต่างๆ ในแถบแคนซัส และมิสซูรี่



วายแอ็ท เอิ๊ร์ป ในวัยหนุ่มฉกรรจ์

ระหว่างที่วายแอ็ทพักอยู่ที่เมืองแคนซัสซิตี้ ก็ได้แรงบันดาลใจที่จะฝึกฝนฝีมือในการใช้ปืนสั้น โดยได้ครูดีอย่าง เจมส์ บั๊ทเลอร์ หรือ ไวลด์ บิล ฮิกค็อก (Wild Bill Hickok) ซึ่งถือว่าเป็นสุดยอดปรมาจารย์สำหรับวิทยายุทธ์ปืนลูกโม่บรรจุ 6 นัด เป็นผู้ฝึกฝน 

วายแอ็ทลงแข่งได้รางวัลหลายหน แต่เมื่อจะออกเดินทางต่อ กลับไม่ยักหาปืนไว้พกติดตัว ทั้งๆที่ก็เริ่มปิ๊งปืนโค้ลท์ ซิงเกิ้ล แอ๊คชั่น อาร์มี่ ขนาด .45 เข้าบ้างแล้ว แต่ไม่ยอมซื้อ



ปืนโค้ลท์ ซิงเกิ้ล แอ๊คชั่น ขนาด .45 
เป็นปืนที่หาง่ายในตลาดและราคาไม่แพง
จึงเป็นที่นิยมของเพวกคาวบอย
และมือปืนตะวันตกในยุคนั้นเป็นอย่างมาก

มิไยครู ไวลด์ บิล จะเตือนว่า ออกจากที่นี่ไปแล้ว จะพบแต่บ้านป่าเมืองเถื่อนทั้งนั้น ควรจะต้องมีปืนติดไว้สำหรับป้องกันตัว ก็ไม่ยอมเชื่อ ตอบแต่อย่างเดียวว่า ว่าจะไปหางานประเภทโลว์โพรไฟล์ ที่เรียบๆสงบๆทำเท่านั้น 

แต่แล้วก็รู้ตัวว่าคิดผิด ตั้งแต่ย่างก้าวแรกที่มาถึงเมืองเอลสเวิร์ธ (Ellsworth) 

ยุคนั้นเป็นยุคที่ธุรกิจปศุสัตว์กำลังเฟื่อง ตลาดรับซื้อส่วนใหญ่อยู่ตามเมืองต่างๆหลายเมือง ในรัฐแคนซัส 


เมื่อเงินเดินสะพัด ธุรกิจต่อเนื่องก็เริ่มตามมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถานบริการ สำหรับคาวบอยอกสามศอกทั้งหลายมาแวะพักผ่อนหย่อนใจ มีบาร์ บ่อน เป็นหลัก (หากเป็นยุคนี้ก็ต้องเรียกว่า เอนเตอร์เทนเม้นท์เซ็นเตอร์ ที่บรรดานักการเมืองผู้มีเกียรติของเราหลายท่านสนับสนุน อยากจะทำให้เป็นของถูกกฎหมายกัน) 

บ้านป่าเมืองเถื่อนที่ดังๆขึ้นชื่อของรัฐแคนซัสในเวลานั้น นอกจากเมือง แอ๊บบิลีน (Abiliene), วิชิต้า (Wichita), ด๊อดจ์ ซิตี้ (Dodge City) แล้ว ก็มีเอลสเวิร์ธ นี่แหละครับ 

เมืองนี้มีนายอำเภอชื่อ ชอนซี่ บี วิธนี่ กับผู้ช่วย 2 คนทำหน้าที่ผู้รักษากฎหมาย 


อยู่มาวันหนึ่งมีนักเลงโตจากเท็กซัส ชื่อว่า เบ็น ธอมป์สัน กับน้องชายชื่อบิล ทั้งคู่มีชื่อเสียงโด่งดัง ทั้งในทางแม่นปืนและดุร้ายโหดเหี้ยม ยิงคนตายไปแล้วกว่า 20 คน 

พี่น้องธอมป์สัน เข้ามาเล่นไพ่ในซาลูนสักพัก ก็เกิดมีปากเสียงเอะอะทะเลาะกันอย่างดุเดือดกับคู่เล่น เนื่องจากจับได้ว่าโกงกัน 

พอนายอำเภอวิธนี่จะเข้ามาจับแยก บิลก็ชักปืนลูกซองแฝดออกมาจากใต้โต๊ะ จ่อเข้าที่หน้าอกนายอำเภอ แล้วลั่นไกยิงนายอำเภอคว่ำลงไปทันที 


ผู้คนพากันแตกตื่น รวมทั้งผู้ช่วยนายอำเภอทั้งสอง ที่วิ่งหนีไปซ่อนอยู่หลังประตู ไม่มีใครกล้าเข้าไปตอแย 

จากนั้น บิลก็เดินทอดน่องออกไปจากซาลูน  ขึ้นม้าขี่ออกนอกเมืองไปหน้าตาเฉย 


ส่วนเบ็นนั้น ยังไม่ไป อยู่สั่งเหล้ากินต่อ แถมยังกวักมือเรียกผู้ช่วยนายอำเภอทั้งสอง ซึ่งยังอยู่ในอาการอุจจาระหดผายลมหาย และบรรดาคาวบอยมุงที่ยังเหลืออยู่นั้นว่า ใครแน่ก็ออกมาจับซิ 

ปรากฏว่า มีไอ้หนุ่มแปลกหน้าแปลกตาคนหนึ่ง ก้าวเท้าออกมา ติดดาวนายอำเภอหรา มีปืนเหน็บติดเอวเตรียมพร้อม โดยขอยืมมาจากนายกเทศมนตรี ซึ่งเผอิญอยู่ในเหตุการณ์ด้วย 

แน่นอนครับ ไอ้หนุ่มแปลกหน้านี้ ย่อมไม่ใช่ใครอื่นไปได้ 


แล้วเชื่อไหมครับว่า แค่วายแอ็ทเดินเข้าไปจ้องตากับเบ็น (นึกภาพฉากจ้องตากันที่ชอบใช้บ่อยๆ ในหนังคาวบอยสปาเก๊ตตี้ที่ คลิ้นท์ อี๊สท์วู้ด เล่นด้วยนะครับ) แล้วก็ถามว่า จะยิงกันหรือจะยอมแพ้ให้จับ

เท่านั้นเอง นักเลงโตที่ขึ้นชื่อว่าดุร้ายโหดเหี้ยมนักหนา ฆ่าคนมาเยอะแยะ นาม เบ็น ธอมป์สัน ก็ยอมให้จับเข้าคุกไปโดยดีเสียเฉยๆ ไม่มีการยวนยี ยอกย้อน หรือยึกยักแต่อย่างใดทั้งสิ้น 

นี่เป็นการแสดงอภินิหารครั้งแรกครับ 

อภินิหารฉากต่อไป เกิดขึ้นในปีต่อมาที่เมืองวิชิต้า ซึ่งผมเอ่ยถึงไปแล้วว่าเป็นเมืองเถื่อนอีกเหมือนกัน 


วายแอ็ทเข้ารับตำแหน่งผู้ช่วยนายอำเภอ ท่ามกลางความหมั่นไส้ของบรรดานักเลงโตประจำท้องถิ่นทั้งหลาย หลังจากได้ยินเรื่องราวของวายแอ็ทที่เมืองเอลสเวิร์ธ ต่างก็ฮึ่มฮั่มยากจะลองของกันทั้งนั้น 

ในบรรดานักเลงโตที่ว่ากันว่าร้ายนักก็มี จ๊อร์จ เปชอร์ คนหนึ่ง กับเพื่อนซี้อีก 2 คนชื่อ เอ๊ด มอริสันและ เซี่ยงไฮ้ เพี้ยร์ซ ทั้ง 3 ผลัดกันพยายามคอยหาเรื่องด่าทอยั่วยุวายแอ็ท ให้มาดวลกันอยู่เสมอ

ฝ่ายวายแอ็ท ซึ่งบัดนี้กลายเป็นเจ้าหน้าผู้พิทักษ์สันติราษฎร์เต็มตัวแล้ว ถึงจะมีปืนพกติดตัวตลอดเวลา ก็พยายามอดกลั้นและระวังตัวอยู่ 

จนกระทั่งวันหนึ่ง ขณะที่วายแอ็ทกำลังเดินสายตรวจประจำวันอยู่ดีๆ ก็เห็นนักเลงโตทั้ง 3 พร้อมลูกสมุนอีกไม่ต่ำกว่า 1 โหล ยืนปิดถนนอยู่ข้างหน้า สีหน้าท่าทางบอกว่า คราวนี้อย่าหนีไปไหน ไม่รอดแน่ 

วายแอ็ทแกล้งเดินเลี้ยวเข้าอีกซอยหนึ่ง ล่อให้ฝูงเหล่าร้ายเดินตามมา 


พอเดินถึงร้านโชว์ห่วย (หรือ General Store ที่เห็นกันบ่อยๆในหนัง) ก็หลบเข้าไปในร้าน คว้าปืนลูกซองแฝดมาได้กระบอกนึง บรรจุกระสุนง้างนก เปิดประตูกลับออกมานอกร้าน ก็ได้จังหวะที่เหล่าร้ายทั้งฝูงเดินตามมาทัน 

คนที่ไม่นึกว่าตัวเองจะเจอแจ๊คพอทเข้า ก็คือ เอ๊ด มอริสัน ที่ดันผ่าทำกร่าง เดินนำหน้าคนอื่นไปก่อนจนถึงหน้าประตูร้าน เผชิญหน้ากับวายแอ็ทในระยะประชิดเข้าโดยไม่ตั้งใจ 

วายแอ็ทไม่ยอมเสียโอกาสทอง เอาลูกซองแฝดจิ้มเข้าที่ครึ่งปากครึ่งจมูกของเอ๊ด นิ้วอยู่ในโกร่งไกร ตะโกนให้เหล่านักเลงโตทั้งหลายได้ยินทั่วกันว่า สนุกกันมากพอแล้วไอ้หนู!

เท่านั้นเองทุกคนก็โยนปืนทิ้งลงพื้นกันหมด ปล่อยให้วายแอ็ท ต้อนเข้าคุกแต่โดยดี นับทั้งหมดได้ 21 คนไม่ขาดไม่เกิน 

งานนี้ทำให้วายแอ็ทชื่อเสียงโด่งดังยิ่งขึ้น ในปี ค.ศ.1876 ปศุสัตว์ย้ายไปค้าขายกันที่เมือง ด๊อดจ์ ซิตี้ มากขึ้นเรื่อยๆ จนเลื่อนลำดับขึ้นนำหน้าเมืองอื่นๆ ในเรื่องความไร้ระเบียบและอาชญากรรม 


นายกเทศมนตรีจึงว่าจ้างวายแอ็ทมาทำงานร่วมเป็นทีมมือปราบ โดยให้เงินเดือน 250 เหรียญ


มุมหนึ่งของเมือง ด๊อดจ์ ซิตี้ 
จัดทำเป็นพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ 
จำลองบรรยากาศย้อนยุค (บันทึกภาพไว้เมื่อปี ค.ศ. 1979)

เนื่องจาก ด๊อดจ์ ซิตี้ เป็นเมืองใหญ่ วายแอ็ทเลยต้องชวนผู้ที่ฝีมือดี และไว้วางใจได้มาช่วยกันหลายๆคน หนึ่งในนั้นคือ แบ๊ท  ม้าสเตอร์สัน บั๊ดดี้เก่าที่เคยล่าควายด้วยกัน  

กลับมาเจอกันหนนี้ทั้งคู่ช่วยกันคิดใหม่ว่า จะดูแลเมืองที่เต็มไปด้วยเสือสิงห์กระทิงแรด ทั้งขาจรและขาประจำอย่างไรดี 


ว่าแล้ว ก็ตัดสินใจลงมือทำใหม่จริงๆ โดยไม่ต้องอาศัยทั้งเสียงสนับสนุนจากคนรุ่นเก่า หรือรอฟังประชามติ ด้วยการประกาศ เขตปลอดอาวุธบังคับพวกคาวบอยทั้งหลายให้ฝากปืนทิ้งไว้กับเจ้าหน้าที่ก่อน จึงจะเข้าไปทำธุระหรือเที่ยวเตร่ในเมืองได้ โดยไม่มีข้อยกเว้นใดๆทั้งสิ้น


ป้ายจำลองตัวอย่างเขตปลอดอาวุธของเมือง ด๊อดจ์ ซิตี้
 ที่หน้าซุ้มรับฝากอาวุธ (อีตาคนทางขวานั่นสงสัยไม่กล้าเข้า)

แน่นอนครับว่า เกิดความหมั่นไส้และฮึดฮัดกันขึ้นมาทันที ทั้งในหมู่นักเลงโตและนักเลงกระจอก ทั้งรุ่นใหม่และรุ่นเก่า 

ตามมาด้วยการลงขันกันว่าจ้างมือปืนอาชีพ ให้มาจัดการกับวายแอ็ทเสีย 

มือปืนที่จ้างมานี้ชื่อ เคลย์ อัลลิสัน พื้นเพเดิมมาจากเท็กซัส  เคยเป็นทหารฝ่ายใต้ในสงครามกลางเมือง มีชื่อเสียงในทางแม่นปืนและดุร้าย ชอบเมาสุราอาละวาดหาเรื่องยิงคน ที่สำคัญที่สุดคือชอบลบหลู่อำนาจรัฐเป็นงานอดิเรก  

ตอนที่ตกลงรับว่าจ้างนั้น เคลย์เพิ่งยิงนายอำเภอของเมืองลาสแอนิมัสในนิวแม็กซิโกตายไปหยกๆ มีพยานหลักฐานมัดเหนียวแน่น 


แต่สามารถข่มขู่ลูกขุนทั้งคณะ จนรอดพ้นความผิดได้ เกิดความฮึกเหิมเหมือนลูกใครไม่รู้เป็นอันมาก 

ก่อนจะลงมือ ก็ต้องมีการหยั่งเชิงกันหน่อย เคลย์ อัลลิสัน ส่งเพื่อนที่มีชื่อเสียงเรียงนามว่า จ๊อร์จ ฮ็อย ล่วงหน้ามาก่อน ให้ขี่ม้าลุยฝ่าด่านเก็บปืนเข้าไปในเมือง โดยไม่ยอมปลดอาวุธ 


แล้วก่อความไม่สงบ ด้วยการระดมยิงทุกอย่างที่ขวางหน้า ไล่มาจนถึงกลางเมือง 

จึงเจอเข้ากับวายแอ็ท ผู้ยืนคอยดูอยู่อย่างไม่สะทกสะท้าน เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น 

พอได้ระยะ วายแอ็ทก็ยิงโป้งด้วยปืนสั้น สวนเข้าให้นัดเดียวโดน จ๊อร์จ ฮ็อย ตกลงจากหลังม้าตายไป 


ส่วนวายแอ็ทนั้น เหมือนอภินิหารอีกเช่นเคย คือแคล้วคลาด ไม่โดนกระสุนขีดข่วนหรือเฉียดฉิวแต่อย่างใด 

เคลย์ อัลลิสัน  จึงต้องตามมาคิดบัญชีให้เพื่อน และก็ได้เผชิญหน้าจะๆกับวายแอ็ทที่หน้า ลองแบร๊นช์ ซาลูน (Long Branch Saloon) งานนี้มีผู้คนมามุงดูมากมาย 

แต่ต้องผิดหวัง เพราะไม่มีการจ้องตากันให้ลุ้น และไม่มีการท้าดวลกันให้ต่อรอง มีเพียงการพูดจาอะไรสักอย่างที่ไม่มีใครได้ยิน 

หลังจากนั้น มือปืนผู้ดุร้ายและชอบลบหลู่อำนาจรัฐ นาม เคลย์ อัลลิสัน ก็กลับขึ้นหลังม้า ขี่ออกนอกเมืองถอยทัพไปเสียเฉยๆ โดยไม่มีอะไรมาสะกิดขีดข่วนวายแอ็ทอีกเช่นเคย 

หนนี้ไม่ได้เป็นเพราะอภินิหารอะไรหรอกครับ เป็นเพียงเพราะเคลย์มองเห็นแล้วว่า วายแอ็ทมี แบ๊ท ม้าสเตอร์สัน ยืนคุ้มกันอยู่ใกล้ๆ ในมือถือปืนลูกซองง้างนกเตรียมพร้อม สามารถยิงมาที่ตัวได้ตลอดเวลาเท่านั้น 

และที่เมือง ด๊อดจ์ ซิตี้ นี่เอง ที่วายแอ็ทได้เพื่อนใหม่อีกคน ซึ่งจะร่วมเป็นร่วมตายกันอีกหลายหนในวันข้างหน้า เป็นอีกคนที่จะได้เข้าร่วมแจมกับวายแอ็ท ในการดวลที่ คอกสัตว์โอเค คระราล (OK Corral) ในอนาคตอันใกล้ด้วย 

ใช่แล้วครับเขาคือ จอห์น เฮนรี่ หรือ ด๊อคฮอลลิเดย์  (Doc Holliday) อดีตหมอฟันชาวจอร์เจีย ผู้ป่วยเป็นวัณโรคไม่รู้ว่าจะตายวันตายพรุ่ง เลยออกตระเวนใช้ชีวิตแบบไม่มีจุดหมาย และหันมาเอาดีทางการพนัน 

ด๊อคเป็นนักเลงปืนที่ทั้งไวและแม่น แถมยังถนัดมีดสั้นอีกด้วย มีชื่อเสียงโด่งดังว่าฆ่าคู่ต่อสู้ตายไปแล้วหลายคนกลางวงไพ่ ทุกครั้งที่มีการกล่าวหาท้าทายกันเรื่องโกง 

เหตุการณ์ที่นำมาสู่มิตรภาพเกิดขึ้นเมื่อ เอ๊ด มอริสัน คู่ปรับเก่าของวายแอ็ทจากเมืองวิชิต้า ตามมาเพื่อจะแก้มือกับวายแอ็ท หลังจากได้ข่าวว่ามารุ่งอยู่ที่เมือง ด๊อดจ์ ซิตี้ 

ครั้งนี้เอ๊ดพาลูกสมุนมาด้วย 50 คน ลุยด่านเก็บปืนเข้ามา ส่งเสียงดังยิงปืนขู่ขวัญพังร้านรวงมาตลอดทาง 


พอถึงหน้า ลองแบร๊นช์ ซาลูน ก็ลงจากหลังม้าพากันบุกเข้าไปข้างใน พังข้าวของแล้วก็ข่มขู่ลูกค้าไปด้วย 

วายแอ็ทไม่ทันได้ตั้งตัว รีบวิ่งมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น 


พอผลักบานประตูเข้าไป ก็เจอปากกระบอกปืนเป็นตับจ้องรออยู่ 

ตัวเองพกปืนอยู่ก็จริง แต่ขืนแค่เพียงทำท่าว่าจะชักปืนขึ้นสู้คนตั้งห้าสิบ ก็คงไม่พ้นถูกรุมยิงเละอยู่ตรงนั้นแน่

จึงได้แต่ยืนคุมเชิงกันแต่ไม่ยอมถอย ในใจก็คิดว่า ถ้าต้องตายละก็ จะพาพวกนี้ไปร่มทัวร์เมืองผีด้วยอย่างน้อยซักสี่ห้าคน 

ท่ามกลางลูกค้าอื่นๆในร้านมากมาย ที่กำลังอกสั่นขวัญแขวนนั้น เอ๊ด มอริสัน ซึ่งนั่งกินเหล้ารออยู่ ก็ลุกขึ้นเดินออกมา ท่าทางมั่นใจเกินร้อย บอกกับวายแอ็ทอย่างเย้ยหยันว่า นึกถึงพ่อแก้วแม่แก้วซะ แล้วรีบชัก (ปืน) ออกมา 

แต่แล้ว แทนที่ฝันของเอ๊ดจะกลายเป็นจริง กลับมีเสียงใครไม่รู้พูดมาจากข้างหลังว่า ม่ายช่ายหรอกเพื่อน แกนั่นแหละที่ต้องชัก (ก็ปืนอีกนั่นแหละครับ) หรือม่ายงั้นก็ยกมือขึ้นซะ 


และแล้ว นักเลงโตผู้ฝันอยากจะเก็บนายอำเภอชื่อดัง ก็รู้สึกว่า มีปืนอีกกระบอกมาจ่ออยู่ตรงขมับตัวเองพอดี 

ถูกแล้วครับ ด๊อค  ฮอลลิเดย์  คือเจ้าของเสียงนั้น  

ก่อนหน้านี้ ด๊อคกำลังเล่นไพ่อยู่ในอีกห้องหนึ่ง พอถูกรบกวนสมาธิจากเสียงเอะอะโครมคราม ก็เลยออกมาดู 


เห็นว่าอะไรเป็นอะไรแล้ว ก็ย่องเข้ามาข้างหลัง ตอนที่เอ๊ดกับลูกสมุนมัวแต่สนใจอยู่กับวายแอ็ท 

จากนั้น ด๊อคก็แค่ตะโกนบอกบรรดาลูกสมุนของเอ๊ด ที่ยังคงจ้องปืนไปที่วายแอ็ทว่า หน้าไหนเหนี่ยวไกละก็ รับรองลูกพี่มันหัวเป็นรูแน่ 


เท่านั้นเอง ปืนกว่า 50 กระบอก ก็ลงไปกองอยู่กับพื้น 

เหตุการณ์นี้ทำให้วายแอ็ท ระลึกถึงบุญคุณของด๊อคไปนาน ส่วนด๊อคเองนั้นก็ชอบในความกล้าหาญและความเป็นนักเลงจริงของวายแอ็ท และเริ่มที่จะติดสอยห้อยตามสนับสนุนวายแอ็ทไปทุกแห่งหน 

บรรดาผู้คนที่ไม่ทราบถึงที่มา ก็ค่อนข้างจะงงๆอยู่ว่า ทำไมนายอำเภอถึงได้ลดตัวลงมาคบหาสมาคมกับนักเลงการพนัน ผู้มีประวัติเป็นฆาตกร แถมยังขี้โรคแล้วก็ขี้เหล้า (เป็นที่ทราบกันดีทั่วไปว่า ทั้งๆที่ไอโขลกๆ ตลอดเวลาเพราะวัณโรค พี่แกยังสามารถดื่มได้ถึงวันละเกือบ 4 ลิตร เริ่มตั้งแต่อาหารเช้าไปจนก่อนนอน โดยไม่เคยแสดงอาการเมา

แต่วายแอ็ทคงจะเห็นรูปทองของด๊อคซ่อนอยู่ภายใน เข้าใจลึกซึ้งถึงแก่นแท้ของปรัชญาชีวิต และหลักจิตวิทยาว่า ที่จริงแล้วด๊อคเป็นผู้มีการศึกษา รักความยุติธรรม และไม่ได้มีสันดานเป็นโจรผู้ร้าย

แต่เพราะความที่รู้ตัวว่า จะต้องตายไม่วันนี้ก็พรุ่งนี้อยู่แล้ว ก็เลยไม่แคร์กับอะไรทั้งสิ้น ขอใช้ชีวิตโลดโผนดุเดือดให้สะใจไปวันๆดีกว่า ในขณะที่ฝีมือและไหวพริบนั้นไม่เป็นรองใครทีเดียว 


เอาเป็นว่า ไม่จัดอยู่ในพวกยี้ก็แล้วกันนะครับ 

ในช่วงเวลา 2 ปีที่เมือง ด๊อดจ์ ซิตี้ นี้ วายแอ็ทไม่ได้มีอาชีพเป็นผู้รักษากฎหมายแต่เพียงอย่างเดียว แต่ได้ริเริ่มอาชีพเป็นนักพนันกับเขาด้วย หลังจากได้ ด๊อค ฮอลลิเดย์ นักพนันตัวฉกาจ มาเป็นเพื่อน  


และยังมี แบ๊ท  ม้าสเตอร์สัน คู่หูเดิม มาเข้าร่วมวงด้วยอีกคน 

ทุกๆวันหลังเวลาราชการ ชาวบ้านจึงชินตากับการได้เห็นผู้รักษากฎหมายคนดังทั้งสองคน คือวายแอ็ทและแบ๊ท มานั่งประจำอยู่ที่ อัลฮัมบร้า ซาลูน (Alhambra Saloon) เพลิดเพลินกับการหารายได้เสริมด้วยการเป็นเจ้ามือไพ่ฟาโร 

แทนที่จะรู้สึกแปลกๆ ขาพนันทั่วไปกลับชอบให้ทั้งสองมานั่งเล่นด้วย เพราะเป็นการช่วยไล่กุ๊ยไปในตัว 


ข้างด๊อคนั้น ก็ให้ความนับถือวายแอ็ท ไม่เคยสร้างปัญหาให้ใคร 

ในที่สุดที่นี่ก็กลายเป็นแหล่งชุมนุมของบรรดาคนดัง พ่อค้าวาณิชและนักการเมืองที่เดินทางผ่านไปมามากมาย 

ว่ากันว่า ในดินแดนตะวันตกสมัยนั้น การพนันถือเป็นอาชีพอันทรงเกียรติอย่างหนึ่ง และการโกงไพ่แต่พองามอย่างมีศิลปะมีชั้นเชิง ไม่โจ๋งครึ่มจนน่าเกลียด ก็ไม่ถือว่าเป็นเรื่องเสียหาย 

ฟังดูแล้วก็น่าสนใจดีนะครับว่าเมื่อร้อยกว่าปีก่อนเขาคิดกันอย่างไร ถ้าเป็นสมัยนี้คงต้องหมายถึงการเมืองกับการเลือกตั้งในประเทศไหนสักแห่งนึงแน่ๆเลย 


ที่ ด๊อดจ์ ซิตี้ นี่อีกเหมือนกันครับ ที่ว่านักเขียนนิยายเล่มละ 10 สตังค์ หรือ Dime Novel ชื่อดังในยุคนั้น นามปากกว่า เน็ด บั๊นท์ไลน์ ได้มอบปืน โค้ลท์ ซิงเกิ้ล แอ๊คชั่น อาร์มี่ รุ่นพิเศษลำกล้องยาว 12 นิ้ว สั่งทำโดยเฉพาะเจาะจงจากโรงงาน เรียกขานกันว่ารุ่น บั๊นท์ไลน์ สเปเชี่ยล ให้กับวายแอ็ทและผู้ช่วยทั้งหลายเป็นการเฉพาะ

เริ่องนี้ในปัจจุบันยังเป็นที่ถกเถียงกันอย่างกว้างขวางว่าจริงหรือไม่ ต่างฝ่ายต่างมีหลักฐานมาอ้างอิงกันทั้งนั้น

ซึ่งผมจะไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดละนะครับ แต่หากหาปืนรุ่นนี้ได้ หรือท่านใดมีอยู่จะนำมาโชว์หรือทดสอบ ก็จะได้ทั้งสาระและความสนุกสนานยิ่งขึ้น

ปืน โค้ลท์ ซิงเกิ้ล แอ๊คชั่น อาร์มี่ รุ่นพิเศษ
"บั๊นท์ไลน์ สเปเชี่ยล" กระบอกนี้มี
ความยาวลำกล้องถึง 16 นิ้ว
สามารถต่อพานท้ายแบบโครงเหล็ก
เพื่อประทับยิงแบบปืนคาร์ไบน์ได้

เมื่อถึงปี ค.ศ.1879 เมือง ด๊อดจ์ ซิตี้ เริ่มเข้าสู่ความเป็นระเบียบเรียบร้อย วายแอ็ทจึงบอกลาไปผจญภัยต่อ ตามคำชวนของเวอร์จิลพี่ชาย ซึ่งขณะนั้นทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยนายอำเภอ และควบตำแหน่งหัวหน้าตำรวจอยู่ที่เมืองทูมบ์สโตน (Tombstone) ในอริโซน่า 

ก่อนหน้านี้ น้องชายคือมอร์แกน ก็ได้รับคำชวนเช่นกัน และล่วงหน้าไปถึงแล้ว 

ทูมบ์สโตนขณะนั้น เป็นเมืองที่กำลังบูมสุดขีด เพราะนอกจากรอบๆเมืองจะมีปศุสัตว์เป็นจำนวนมากแล้ว ยังมีการขุดพบแร่เงินอีกด้วย 

วายแอ็ทเข้าลงทุนร่วมกับพี่ๆน้องๆเป็นหุ้นส่วนใน โอเรียนเต็ล ซาลูน (Oriental Saloon) แล้วก็รับงานเป็นผู้คุ้มกันรถม้าของบริษัท เวลส์ ฟาร์โก (Wells Fargo) ด้วย 

และจากงานผู้คุ้มกันรถม้านี่เอง ที่ทำให้วายแอ็ทต้องเหยียบเท้ากลุ่มอิทธิพลประจำท้องถิ่นเข้า 

กลุ่มอิทธิพลที่ว่านี้ คือพวกตระกูลแคลนตั้น (Clanton) เป็นผู้กว้างขวางทำอาชีพปศุสัตว์ อยู่ในย่านนี้มาแล้วหลายปี เป็นแก๊งใหญ่มากนำโดย นิวแมน เฮนส์ ที่ชาวบ้านทั่วไปชอบเรียกว่า เฒ่าแคลนตั้น กับลูกชาย 3 คน ได้แก่ ไอ๊ค์ ตามด้วย ฟิเนียส และ บิลลี่

แถมด้วยลูกสมุนนักเลงปืนฝีมือดีอีกมากมาย คนหนึ่งได้แก่ จอห์นนี่ ริงโก้ อีกคนได้แก่ บิล หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า บิลผมลอน โบรเชียส

จากนั้นก็มีสองพี่น้อง แฟร้งค์ กับ ทอม แม็คลอรี่ ตามด้วย ฟลอเรนทีโน่ ครุซ ที่ชาวบ้านเรียกว่า อินเดียน ชาร์ลี

แล้วยังมี พีท สเป๊นซ์ อีกทั้ง แฟร้งค์ สติลเวลล์ และอื่นๆ (แค่นี้ก็หลายคน จำแทบไม่หมดแล้วนะครับทั้งชื่อจริงชื่อเล่น แต่ถ้ามีน้อยคนก็แปลว่าไม่กว้างขวางจริงซิครับ) 

คาวบอยแก๊งนี้ไม่ได้ค้าขายปศุสัตว์ด้วยวิธีสุจริต แต่ใช้วิธีทั้งขโมยและปล้นเอามาจากฝั่งเม็กซิโก อาศัยมีพื้นที่อยู่ติดกับรอยต่อพรมแดน ทำให้ติดตามหาหลักฐานได้ยาก 


นอกจากนั้นยังปล้นทรัพย์ และรีดไถค่าคุ้มครองจากรถม้าโดยสารด้วย

ที่สามารถทำธุรกิจนอกระบบอยู่ได้ ก็เพราะมีเชอร์ริฟที่ชื่อ จอห์น บีแฮน เป็นพวก 

เหตุที่ทำให้วายแอ็ทต้องเหยียบเท้าพวกนี้ เริ่มต้นด้วยว่า อยู่ดีๆม้าของตัวเองเกิดหายตัวไปเสียเฉยๆ หลังจากเพิ่งมาถึงทูมบ์สโตนได้ไม่กี่วัน 


พอมีคนมากระซิบบอกว่า ลองไปหาแถวๆไร่ของพวกแคลนตั้น ดูซิ

วายแอ็ทก็ตามไปดู และพบว่า ม้าของตัวอยู่กับ บิลลี่ แคลนตั้น 


เลยเกิดมีปากเสียงกันอยู่พักใหญ่ แต่ในที่สุดบิลลี่ก็ยอมให้วายแอ็ทเอาม้าคืนไป อย่างไม่ค่อยสบอารมณ์นัก 

จากนั้นก็มีฬ่อตัวหนึ่ง หายไปจากค่ายทหารที่เพิ่งย้ายมาตั้งประจำอยู่ในบริเวณนั้น ทางทหารได้ขอแรงฝ่ายสืบสวนของบริษัท เวลส์ ฟาร์โก ให้ช่วยค้นหาโดยร่วมมือกับทางตำรวจ

วายแอ็ทกับเวอร์จิลพี่ชาย จึงออกแกะรอย ตามไปจนถึงบ้านของพวกแม็คลอรี่ ก็พบฬ่อตัวนั้น 


แถมพบอีกว่า ที่บ้านดังกล่าวมีอุปกรณ์สำหรับตีตราใหม่ เอาไว้สำหรับลบตราประทับความเป็นเจ้าของเดิมด้วย 

ทางทหารมารับฬ่อคืนไป แล้วลงประกาศหนังสือพิมพ์ เสนอเงินรางวัลให้ใครก็ตามที่สามารถหาหลักฐานมาใช้มัดตัว และจับเอาพวกแม็คลอรี่เข้าคุกได้ 


ประกาศนี้ ทำให้พวกแม็คลอรี่โมโห และเจ็บแค้นว่า พวกเอิ๊ร์ปเป็นตัวการทำให้เสียชื่อเสียง 

อีกไม่นานนัก ก็เกิดมีคดี บิลผมลอน โบรเชียส เมาสุราอาละวาด แล้วฆ่านายอำเภอ เฟร้ด ไว้ท์ ตาย ขณะที่ถูกนายอำเภอจับตัวจะปลดอาวุธ

บิลผมลอน เป็นมือปืนคนสำคัญของพวกแคลนตัน เชี่ยวชาญการใช้ปืนพก สำหรับเล่นลูกไม้หลอกล่อผู้อื่น พอๆกับเอาไว้ทำการสังหารโหด 


ลูกไม้นี้และเหตุการณ์สังหารเจ้าหน้าที่บ้านเมืองอย่างอุกอาจกลางที่สาธารณะนี้ กลายเป็นเรื่องโด่งดังที่สุดเรื่องหนึ่ง ที่มีการบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์คาวบอยตะวันตกเลยละครับ 

รายละเอียดก็คือ บิลผมลอนทำทีเป็นยอมส่งมอบปืนในมือทั้งซ้ายและขวา ให้กับนายอำเภอ โดยกำมือรอบโครงปืนและลูกโม่ ชี้ปากกระบอกปืนลงพื้น หันด้ามปืนออกจากตัวยื่นไปข้างหน้าหาผู้รับ 


ทำให้ผู้รับมองดูเหมือนว่า ทั้งปลอดภัยและสะดวกที่จะหยิบฉวยไป 

แต่พอนายอำเภอยื่นมือทั้งสองมาจะหยิบปืน บิลผมลอนก็เล่นกลทันที ด้วยวิธีที่นักเลงปืนสมัยนั้นเรียกกันว่า โร้ด เอเย่นท์ส สปิน (Road Agent’s Spin) 


คือ งอนิ้วชี้ให้เป็นตะขอ สอดเข้าไปในโกร่งไก ปล่อยปืนที่กำไว้ ให้หงายตกลงมาแขวนอยู่กับข้อนิ้ว แล้วตวัดควงปืนหมุนด้ามขึ้นมากำไว้ ปากกระบอกปืนหันกลับไปอยู่ด้านหน้า ง้างไกเพื่อขึ้นลำด้วยนิ้วโป้ง โดยยังคงนิ้วชี้ไว้ในโกร่งไก 

สำหรับนักเลงปืนตัวจริงอย่างบิลผมลอนแล้ว การเล่นกลหมุนปืนกลับแบบนี้ ใช้เวลาแค่กระพริบตาเท่านั้นเองครับ 

ดังนั้น แทนที่นายอำเภอจะคว้าได้ด้ามปืน เลยกลายเป็นคว้าเอาปากกระบอกปืน ดึงเข้าหาตัวแทน แถมเป็นปืนที่ขึ้นลำพร้อมยิงไว้แล้วเสียด้วย

ผลก็คือแน่นอนครับว่า ปืนลั่นตูมทั้ง 2 กระบอก เข้าที่พุงกะทิของนายอำเภอ ทรุดลงไปนอนเลือดท่วมอยู่กับพื้น 

วายแอ็ทได้ยินเสียงปืน ก็วิ่งไปยังที่เกิดเหตุ พอเห็นนายอำเภอถูกยิง มีบิลผมลอนยืนถือปืนหัวเราะอยู่อย่างเมามัน


จึงคว้าปืนของตัวเองออกมา ตีบิลผมลอนเข้าที่หัว แล้วส่งให้เวอร์จิลลากเข้าคุกไป ด้วยข้อหาฆ่าเจ้าพนักงานโดยเจตนา 

แต่ในที่สุด ศาลพิพากษาว่าไม่มีความผิด เพราะพยานทุกฝ่ายให้การตรงกันหมดว่า ก่อนที่นายอำเภอไว้ท์จะสิ้นลม ได้ละเมอออกมาให้ผู้คนที่อยู่รอบๆได้ยินอย่างชัดเจนว่า ไม่น่าดึงปืนให้ลั่นเลย 

ไม่ว่าปืนจะลั่นเพราะนายอำเภอไว้ท์ทำซุ่มซ่ามเองหรือไม่ก็ตาม บิลผมลอนก็คุยโขมงไปทั่ว หลังจากถูกปล่อยตัวเป็นอิสระแล้วว่า ตัวเองหลอกยิงนายอำเภอได้โดยไม่ต้องติดคุก 


และแน่นนอนครับว่า ต้องหมายหัววายแอ็ทไว้ ในฐานะผู้ที่ทำให้ตนต้องเดือดร้อนเสียเวลา (และยังเจ็บตัวเพราะถูกตีด้วย) 

ระหว่างที่วายแอ็ทกำลังมีเรื่องกับสมุนแคลนตั้นนั้น ด๊อค ฮอลลิเดย์ ซึ่งติดตามวายแอ็ทมาอยู่ทูมบ์สโตนด้วย ก็เอากับเขาบ้าง 


ด้วยการมีเรื่องเขม่นกับ จอห์นนี่ ริงโก้ ซึ่งตามประวัติกล่าวว่า เคยเรียนหนังสือมาสูงเหมือนกัน แต่มีปัญหาทางจิต เป็นพวกเก็บกดโมโหร้ายทำอะไรไม่ยั้งคิด 

ความที่ต่างฝ่ายต่างก็ได้ชื่อว่า เป็นเสือปืนไวชื่อดัง (แถมโรคจิตพอๆกัน) จึงยียวนเข้าใส่กันเต็มที่ เกือบจะปะทะกันก็หลายหน เหล่านายอำเภอและผู้ช่วยทั้งหลาย ต้องคอยจับแยกออกเป็นประจำ 

แล้วก็เกิดเหตุการณ์ที่สร้างความตึงเครียดขึ้นอีก เมื่อรถม้าคันหนึ่งถูกปล้น คนขับถูกยิงตาย 

มีการกล่าวหา และสร้างพยานเท็จว่าด๊อคเป็นตัวการ โดยพวกแคลนตั้นกับเชอร์ริฟบีแฮนร่วมมือกันออกอุบาย ชวนแฟนของด๊อค ที่เพิ่งเสร็จจากการทะเลาะถึงขั้นตบตีกันกับด๊อค ไปเลี้ยงเหล้า ทำทีเป็นว่าเห็นใจ  

แต่แล้วกลับยุยงใ ห้ไปให้การปรักปรำด๊อคกับศาล จนด๊อคเกือบจะถูกตัดสินแขวนคออยู่แล้ว เกิดเปลี่ยนใจสงสารกลับคำให้การทีหลัง ด๊อคถึงรอดออกมาได้ 

งานนี้ด๊อคถึงกับขู่แฟนตัวว่า จะฆ่าทิ้งเสียถ้าขืนยังมาให้เห็นหน้าอีก พร้อมประกาศตนเป็นศัตรูกับพวกแคลนตั้นอย่างเปิดเผย 

หลังจากนั้นไม่นาน มีการปล้นรถม้าอีกครั้ง แต่คราวนี้คนขับรอดตาย แล้วให้การซัดทอดว่าเป็นฝีมือของ พีท สเป๊นซ์ กับ แฟร้งค์ สติลเวลล์ ที่ทุกคนรู้กันดีว่าเป็นพวกของแคลนตั้น

พอเวอร์จิลและวายแอ็ทรีบตามไปจับทั้งคู่มาขึ้นศาลได้ ทั้งพีทและแฟร้งค์ กับลูกสมุนทั้งหลาย ก็ประกาศก้องว่า แค้นนี้ต้องชำระแน่ 

ย่างเข้าหน้าร้อนของปี ค.ศ.1881 เฒ่าแคลนตั้นเกิดโชคร้าย ถูกพวกตำรวจแม็กซิกันยิงตาย ขณะที่เข้าไปปล้นม้าในเขตของเม็กซิโก ลูกชายคนโตคือ ไอ๊ค์ ขึ้นมาเป็นผู้นำแทน 

สิ่งที่ไอ๊ค์ทำเป็นอย่างแรกก็คือ ประกาศสงครามกับพวกเอิ๊ร์ปอย่างเป็นทางการ 


โดยตัวเองและพรรคพวกพากันเที่ยวพูดจาไปทั่ว โดยเฉพาะในซาลูนที่มีคนแยะๆว่า จะจัดการส่งพวกพี่น้องเอิ๊ร์ป กับ ด๊อค  ฮอลลิเดย์  ลงหลุมเสียในเร็วๆนี้ 

คืนวันที่ 25 ตุลาคม 1881 ไอ๊ค์เมาสุราอยู่ใน อ๊อกซิเดนทัล ซาลูน (Occidental Saloon) หลังจากตะโกนด่าท้าทายพวกเอิ๊ร์ปและด๊อค ฮอลลิเดย์ อย่างรุนแรงแล้ว ก็จ๊ะเอ๋เข้ากับด๊อคพอดี 

ด๊อคกะเอาเรื่องเต็มที่ ถามว่า เมื่อไรจะลงมือเสียทีล่ะ เดี๋ยวนี้เลยมั้ย 


เกือบจะลงไม้ลงมือกัน ก็พอดีเวอร์จิลและมอร์แกนรีบมาจับแยกออกจากกันได้ทัน 

แต่ไอ๊ค์ไม่ยอมลดละ ออกไปจากซาลูน เห็นวายแอ็ทเดินอยู่ข้างนอก ก็รี่เข้าไปตะคอกใส่วายแอ็ทว่า บอกไอ้ปอดเน่าตัวแสบเพื่อนซี้ของแกด้วยว่า พรุ่งนี้มันต้องไปแน่ ตัวแกเองก็เหมือนกัน เตรียมตัวให้ดีเถอะ 

และแล้วก็มาถึงวันรุ่งขึ้น 26 ตุลาคม ค.ศ.1881 วันแห่งการดวลปืนครั้งยิ่งใหญ่ที่สุด ที่เคยบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ของโคบาลตะวันตก 

พวกเอิ๊ร์ปเตรียมตัวพร้อมอยู่แล้วตั้งแต่เช้า ส่วนพวกแคลนตั้นก็ทยอยกันขี่ม้าเข้าเมืองกันมาแต่เช้าเช่นกัน  

ก่อนจะเริ่มยิงกันจริงๆก็ต้องมีการหยั่งเชิงกันเล็กน้อยตามธรรมเนียมครับ 


โดย ไอ๊ค์ แคลนตั้น ถือปืนลูกซองเดินมาตามถนน ร้องด่าท้าทายมาคนเดียวก่อน แต่แล้วก็ถูกเวอร์จิลในฐานะนายอำเภอจับกุมในข้อหาก่อความไม่สงบ ส่งศาลปรับทันที 25 เหรียญ ยึดปืนไว้ด้วย 

ระหว่างที่ยังอยู่ในศาลยังไม่กลับออกมานั้น วายแอ็ท และ ทอม แม็คลอรี่ ต่างคนต่างตามจะเข้าไปดู จ๊ะเอ๋กันที่หน้าศาลก็มีการปะทะคารมกันอีก

ไม่มีใครได้ยินว่าพูดอะไรกันบ้าง แต่ตอนท้าย วายแอ็ทชักปืนออกมา เอาด้ามตีกบาลของทอม โดยไม่มีการยิงกัน (คงยังพอเกรงใจศาลกันอยู่บ้างกระมังครับ ไม่เหมือนสมัยนี้) แล้วทอมก็ล่าถอยกลับไป 

ไอ๊ค์และทอมกลับไปสมทบกับพรรคพวก อันประกอบด้วย บิลลี่น้องชายของไอ๊ค์ แฟร้งค์น้องชายของทอม  แถมด้วย บิลลี่ เคลย์บอร์น อีกคนหนึ่ง รวมเป็น 5 คน 

ไอ๊ค์หยุดแวะร้านปืน ซื้อปืนสั้นกระบอกหนึ่ง มาใช้แทนลูกซองที่ถูกศาลยึดไป (น่าจะเฉลียวใจนะครับว่าฤกษ์ไม่ดี

จากนั้น ทั้งหมดก็เคลื่อนตัวไปจับกลุ่มคุยกัน อยู่ในซอยแยกจากถนนฟรีม้องท์ไปทางทิศใต้ ฝั่งหนึ่งของซอยเป็นบ้านคน ฝั่งตรงกันข้ามเป็นร้านถ่ายรูปชื่อ ฟลายส์ แกลเลอรี่ ท้ายซอยอยู่ไม่ไกลจาก คอกสัตว์โอเค คระราล (OK Corral) นัก  

ชาวบ้านที่เดินผ่านไปมา ได้ยินเสียงพวกนี้คุยว่าจะทำอะไรกันแล้ว ก็เดาได้ว่า เดี๋ยวจะต้องเกิดเรื่องใหญ่แน่ ต่างพากันไปชุมนุมกันอยู่ที่หัวมุมถนนตรงปากซอย คอยเฝ้าดูเหตุการณ์

คนหนึ่งรีบคาบข่าว ไปบอกกับเวอร์จิลว่า เห็นพวกคาวบอย 5 คนอาวุธครบมือ พูดว่ามันจะเด็ดหัวพวกเอิ๊ร์ปกันแล้วหละ 

เวอร์จิลได้ยินดังนั้น ก็ชวนเชอร์ริฟบีแฮน ซึ่งใครๆก็รู้ว่าเป็นผู้สนับสนุนแคลนตั้น ให้ไปช่วยปลดอาวุธกันเสียจะได้ไม่มีเรื่อง คงเดาได้นะครับว่าถูกปฏิเสธอยู่แล้ว 

ในที่สุดสามพี่น้องเอิ๊ร์ป กับ ด๊อค ฮอลลิเดย์ รวมเป็น 4 คน จึงออกเดินไปตามถนนแอลเล็น เลี้ยวขวาเข้าถนนสาย 4 เลี้ยวซ้ายอีกทีเข้าถนนฟรีม้องท์ ตามเข้าไปถึงในซอยที่ ไอ๊ค์ แคลนตั้น กับพรรคพวกชุมนุมอยู่



เส้นทางการเคลื่อนพล 
ของพวกแคลนตั้น และพวกเอิ๊ร์ป
อันนำไปสู่การเผชิญหน้ากัน 

ที่ บริเวณใกล้กับ โอเค คระราล

ท่ามกลางผู้คนมากมายที่คอยลุ้นว่าจะลงเอยกันอย่างไร (สงสัยพวกนักพนันทั้งนั้น

เมื่อได้ระยะเผชิญหน้ากันแล้ว เวอร์จิลในฐานะเจ้าหน้าที่อาวุโสสูงสุด ก็ก้าวออกไปข้างหน้า ถือไม้เท้าไว้ในมือซ้าย ตะโกนออกไปว่า ทิ้งปืนและยอมให้จับเสียดีๆ 

มีเสียงกระซิบกระซาบอะไรไม่รู้ แว่วมาจากทั้งฝั่งของแก๊งแคลนตั้น และจากข้างหลังของเวอร์จิลเอง

แล้วก็มีเสียงดัง กริ๊ก!”  ที่ไม่สามารถบอกได้อีกเหมือนกันว่า ดังขึ้นมาจากฝั่งไหน 

ยังเป็นปริศนาอยู่จนถึงทุกวันนี้ให้ถกเถียงกันอยู่ว่า ใครกระซิบว่าอะไร และเสียง กริ๊ก!” ที่ตามมานั้นดังมาจากไหนกันแน่

แต่ที่ไม่เถียงกันเลยก็คือ ทุกคนเล่าตรงกันว่า พอเวอร์จิลได้ยินเสียง กริ๊ก!” ก็อุทานออกมาดังๆว่า Hold it! I don’t mean that! 


ในสถานการณ์แบบนี้ หากแปลโดยใส่อารมณ์แบบไทยๆก็ คงหมายถึงอะไรที่เกี่ยวกับการเสียชีวิตด้วยอหิวาตกโรคนั่นแหละครับ 

30 วินาทีต่อจากนั้น ต่างฝ่ายต่างยิงกันอุตลุด โดยไม่รู้ฝ่ายไหนเริ่มยิงก่อน 


รายละเอียดผมขออนุญาตไม่บรรยายละนะครับ ขอแนะนำว่าให้หาหนังเรื่อง วายแอ็ท เอิ๊ร์ป หรือทูมบ์สโตน ที่ผมกล่าวถึงไปแล้วเมื่อครั้งก่อนมาดูกันดีกว่า จะได้อรรถรสที่สุดครับ ยังไงๆ สิบปากว่าก็ไม่เท่าตาเห็น

ทั้งสองเรื่องเดินเรื่องและจัดฉากแสดงภาพการดวลอย่างละเอียดทุกแง่ทุกมุม ชนิดที่เรียกว่า ต่อให้สถานีโทรทัศน์ CNN ส่งทีมข่าวย้อนยุคกลับไปก็ไม่สามารถเก็บได้รายละเอียดขนาดนี้ 

ผลของการดวลก็คือ ฝ่ายแคลนตั้นถูกยิงตาย 3 คน ได้แก่ ทอมกับแฟร้งค์ แม็คลอรี่  และ บิลลี่ แคลนตั้น 


ส่วนอีก 2 คน บิลลี่ เคลย์บอร์น วิ่งหนีหายตัวไปเสียก่อน หลังจากเสียงปืนนัดแรกดังขึ้น

ไอ๊ค์ แคลนตั้น วิ่งเข้าไปหาวายแอ็ทขอสงบศึก 


แต่วายแอ็ทไม่ยอม ยันกลับออกไป บอกว่า การต่อสู้เริ่มขึ้นแล้ว ถ้าไม่สู้ก็วิ่งหนีไปซะ 

ไอ๊ค์จึงวิ่งหนีเข้าไปใน ฟลายส์ แกลเลอรี่ ออกประตูหลังหายไปอีกคน 

ฝ่ายเอิ๊ร์ปบาดเจ็บ 2 ได้แก่ เวอร์จิล โดนยิงที่ขา ส่วน มอร์แกน โดนที่สีข้าง ขณะที่ ด๊อค โดนกระสุนถากที่ตะโพกหน่อยนึง 


สำหรับวายแอ็ทนั้น กระสุนแค่วิ่งทะลุชายเสื้อโค้ตไปนัดนึง ตัวเองไม่เป็นอะไรเลย


ภาพเขียนบรรยายการดวลครั้งประวัติศาสตร์ 
ที่ โอเค คระราล เมืองทูมบ์สโตน
ฝีมือของ ลีอา เอ็ฟ. แม็คคารที วาดไว้เมื่อปี ค.ศ. 1959

ก่อนจะว่าต่อไป ขอแถมเกร็ดเล็กน้อยนะครับว่า บริเวณที่เกิดการยิงกันนี้ ปัจจุบันกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของเมืองทูมบ์สโตนไปแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่หนังชื่อเดียวกันออกฉายเมื่อหลายปีก่อน

แถมมีคำขวัญประจำเมืองว่า A town too tough to die หรือ เมืองอึดไม่ยอมตาย เสียด้วย (ส่วนสมัยนั้นจะใช้คำขวัญอื่นหรือเปล่านักประวัติศาสตร์ไม่ได้บันทึกไว้ แต่คงไม่ใช่ประเภท เมืองขนมหม้อแกงแหล่งธรรมะ หรืออะไรแบบนั้นแน่

ชื่อถนนหนทางต่างๆก็ยังคงอยู่ตามเดิม มีการจำลองสถานที่ต่างๆที่เอ่ยชื่อไปแล้วไว้ให้ดู


ด้านหน้าของ โอเค คระราล 
บนถนนแอลเล็น เมืองทูมบ์สโตน
(บันทึกภาพไว้เมื่อปี ค.ศ. 1980)

แถมมีหุ่นปูนปั้นเท่าตัวจริงของมือปืนทั้ง 9 คน ตั้งไว้ในตำแหน่งก่อนที่จะเริ่มยิงกันด้วย ดูคล้ายๆอุทยานประวัติศาสตร์เหมือนกันนะครับ
 
หุ่นปูนปั้นจำลอง ขนาดเท่าตัวจริง ของมือปืนทั้ง 9 คน
ในตำแหน่งจริงที่เผชิญหน้าและยิงกัน
ฝั่งที่ยืนหันหลังให้กล้อง คือพวกแคลนตั้น
ฝั่งตรงข้ามที่เดินรี่เข้ามา คือพวกเอิ๊ร์ป


ทุกตัวมีป้ายชื่อกำกับไว้ ให้รู้ว่าใครเป็นใคร
(ส่วนตรงกลางนั่นไม่รู้ใครครับ ไม่ยักกลัวลูกหลงแฮะ)

เสร็จจากการดวลเพียงอาทิตย์กว่าๆ  วายแอ็ทกับพวกถูก ไอ๊ค์ แคลนตั้น ฟ้องศาลแจ้งข้อหาเจตนาฆ่าโดยผู้อื่นที่ไม่มีอาวุธและไม่ได้ต่อสู้ แต่หลังจากเรียกสอบพยานและพิจารณาหลักฐานต่างๆแล้ว ศาลตัดก็สินยกฟ้อง 

ระหว่างการพิจารณาคดีนั้น ด๊อคให้การแบบเหน็บแนมว่า ถ้าพวกแคลนตั้นไม่มีอาวุธและไม่คิดจะต่อสู้จริงละก็ แปลว่าทั้งเวอร์จิล และมอร์แกนยิงตัวเองยังงั้นซิ 

นอกจากนี้แล้วปรากฏว่า มีประชาชนทั้งของเมืองวิชิต้าและ ด๊อดจ์ ซิตี้ ที่วายแอ็ทเคยเป็นนายอำเภออยู่ ทำจดหมายลงชื่อร่วมกัน ส่งมาถึงผู้พิพากษายืนยันว่า วายแอ็ท เป็นผู้รักษากฎหมายที่เคร่งครัด และไม่เคยใช้ความรุนแรงโดยไม่มีเหตุอันควร 

หลังจากนั้นพอถึงวันที่ 28 ธันวาคม เวอร์จิลถูกลอบยิงบาดเจ็บสาหัส จนแขนซ้ายพิการไปตลอดชีวิต 


ขึ้นปีใหม่ วันที่ 18 มีนาคม มอร์แกนกับวายแอ็ทถูกลอบยิง ขณะกำลังเล่นบิลเลียดด้วยกัน มอร์แกนโชคร้ายโดนเข้ากลางหลังจังๆถึงตาย 

ส่วนวายแอ็ทนั้นแคล้วคลาดเช่นเคย กระสุนวิ่งเข้าข้างฝาแทน 

เมื่อเล่นกันถึงขั้นนี้แล้ว วายแอ็ทก็ตัดสินใจว่าได้เวลาที่จะแสดงความเป็นผู้นำเสียที จัดชุดไล่ล่าประกอบด้วยด๊อคคนหนึ่ง วอร์เรนน้องชายอีกคนที่ยังเหลือ กับผู้ช่วยที่ไว้ใจได้อีกสองสามคน 


ออกตระเวณเก็บกวาดสมุนแคลนตั้น ที่วายแอ็ทเชื่อว่าเป็นคนลอบยิงพี่น้องของตัวทั้งหมดเสียเกลี้ยง

ไล่ไปตั้งแต่ แฟร้งค์ สติลเวลล์, อินเดียน ชาร์ลี, บิลผมลอน โบรเชียส แล้วก็ จอห์นนี่ ริงโก้ (รายละเอียดขออนุญาตแนะนำว่าให้ดูจากหนัง 2 เรื่องที่กล่าวถึงไปแล้วอีกเหมือนกันครับ)

เหลือเพียง พีท สเป๊นซ์ กับ ไอ๊ค์ แคลนตั้น หัวโจกที่รอดมือวายแอ็ทไปได้ และไปถูกคนอื่นยิงตายในภายหลัง 

จบรายการเก็บกวาดแล้ว วายแอ็ทกับด๊อคก็ย้ายออกจากทูมบ์สโตน ไปอยู่ที่เมืองกันนิสันในโคโลราโด้

ที่นั่น ได้อาศัยเพื่อนเก่าคือ แบ๊ท ม้าสเตอร์สัน ซึ่งเป็นมาร์แชลอยู่ที่เมืองทรินิแดด ช่วยเหลือไม่ให้ต้องถูกส่งตัวกลับไปอริโซนา หลังจากที่เชอร์ริฟบีแฮน ผู้เป็นพวกของแคลนตั้น แจ้งข้อหาจับทั้งวายแอ็ทและด๊อค ขอให้ส่งผู้ร้ายข้ามแดนกลับไปให้ 

เคลียร์เรื่องคดีจบแล้ว ด๊อคก็บอกลาวายแอ็ท แยกตัวไปผจญภัยตามลำพังต่อ 


ขณะที่วายแอ็ทกับแบ๊ท ได้รับข่าวจากเพื่อนเก่าอีกคนหนึ่งชื่อ ลุค ช้อร์ท ผู้เคยเป็นหุ้นส่วนลงทุนทำซาลูนร่วมกัน ทั้งคู่กลับไปเยือน ด๊อดจ์ ซิตี้ อีกครั้งหนึ่งในปี ค.ศ.1883 เพื่อช่วยไกล่เกลี่ยข้อพิพาทที่ ลุค ช้อร์ท เกิดไปมีเข้ากับเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง จนตกลงกันได้ 

จบผลงานนี้ วายแอ็ทเพิ่งจะอายุได้ 35 แต่ก็ตัดสินใจเกษียณอายุตัวเองออกจากวงการ และย้ายไปปักหลักอยู่ใน แคลิฟอร์เนีย ผันตัวเองเข้าสู่วงการกีฬาควบคู่ไปกับอาชีพการพนันที่ตนถนัดอยู่แล้ว

ในช่วงหลัง ถึงแม้จะไม่มีการดวลปืน หรือบู๊ล้างผลาญอย่างที่ผ่านมา เนื่องจากไกลแดนเถื่อนมาอยู่ในพื้นที่ที่ศิวิไลซ์กว่า แต่ก็มีวีรกรรมเชิงอภินิหาร แสดงให้ปรากฏอีกครับ 


เป็นข่าวใหญ่พาดหัวในหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น ดังไม่แพ้เรื่องการยิงกันที่ทูมบ์สโตนเลย

เรื่องนี้ผมเชื่อว่า แม้แต่แฟนพันธุ์แท้ของวายแอ็ท เอิ๊ร์ป หลายท่านก็ยังไม่เคยได้ยินแน่ ลองฟังกันดูนะครับ 

ถึงปี ค.ศ.1896 วายแอ็ทเริ่มเป็นผู้ที่มีชื่อเสียง เป็นที่รู้จักแพร่หลายในวงการกีฬาหมัดมวย 


วันที่ 2 ธันวาคม มีการแข่งขันชกมวยครั้งสำคัญที่เมือง ซาน ฟรานซิสโก เป็นการพบกันระหว่าง ชาร์กี้ และ ฟิตซ์ซิมม่อนส์

ผู้จัดการแข่งขัน ขอร้องให้วายแอ็ทขึ้นเวทีเป็นกรรมการตัดสิน ในนาทีสุดท้ายก่อนจะเริ่มชก โดยให้เหตุผลว่าเป็นผู้เดียวที่นักมวยทั้ง 2 ยอมรับ 

พอวายแอ็ทขึ้นเวที และถอดเสื้อโค้ตออกเตรียมทำหน้าที่ ผู้ชมทั้งสนามก็ฮือฮากันใหญ่ เมื่อเห็นว่ากรรมการพกปืนมาด้วย 


ตำรวจประจำสนามเลยต้องจัดการปลดอาวุธเสียก่อน และเปรียบเทียบปรับไป 50 เหรียญ การชกจึงเริ่มต้นได้ 

มวยคู่นี้มีเดิมพันสูงมาก โดยมีฟิตซ์ซิมม่อนส์เป็นต่อ 


หลังจากชกกันไปได้ระยะหนึ่ง ฟิตซ์ซิมม่อนส์ก็ปล่อยหมัดเด็ดน็อค ชาร์กี้ลงไปนอนวัดพื้น แต่กลับถูกวายแอ็ทจับแพ้ฟาวล์ฐานชกใต้เข็มขัด 

เกิดเป็นเรื่องราวขึ้นมาทันที เพราะมีทั้งคนดูที่เห็นว่าฟาวล์จริงเท่าๆกับคนที่ไม่เห็น 

หลังจบการชก  ฟิตซ์ซิมม่อนส์กับพวก (คงจะเสียพนันไปแยะ) ก็เลยแจ้งความจับวายแอ็ท ข้อหาตัดสินไม่ถูกต้อง ทำให้พวกตนต้องเสียหาย

ปรากฏว่าศาลไม่รับฟ้อง ไม่ใช่เพราะหลักฐานอ่อน แต่เป็นเพราะศาลเห็นว่า ตนไม่มีอำนาจวินิจฉัยว่ามวยชกถูกต้องหรือไม่ถูกต้องอย่างไร 

หลังจากนั้นไม่กี่วัน ฟิตซ์ซิมม่อนส์เข้าไปกินเหล้าในซาลูนแห่งหนึ่ง 


พอเดินเข้าร้านมา ก็คุยส่งเสียงดังไปทั่วร้านว่า วันนั้นถูกวายแอ็ทปล้นชัยชนะ ถ้าเจอหน้ากันอีกจะๆละก็ จะสั่งสอนด้วยการแสดงให้ทุกคนเห็นว่า กำปั้นนั้นสามารถวิ่งได้เร็วกว่าชักปืนมากนัก 

พูดจบก็เข้าไปยืนสั่งเหล้าที่บาร์ โดยไม่ได้สังเกตเห็นว่ามีใครคนหนึ่งยืนอยู่ก่อน 


แต่คนอื่นๆทั้งหมดในร้านเห็น และรู้จักด้วยว่าเป็นใคร ก็เลยเงียบกริบกันไปหมดทั้งร้าน 

วายแอ็ทเพิ่งจะเข้ามาในร้านก่อนหน้าไม่นาน ได้ยินคำพูดของฟิตซ์ซิมม่อนส์ตั้งแต่ต้นทุกถ้อยคำ 


พอเสียงในร้านเงียบลงไปเฉยๆ ฟิตซ์ซิมม่อนส์ก็หันไปดูว่ามีอะไรหรือ ถึงได้รู้ตัวว่า กำลังยืนกระทบไหล่วายแอ็ท โดยมีสายตาของทุกคนในร้านมองดูอยู่ 

วายแอ็ทยกแก้วเหล้าด้วยมือซ้าย ค้างไว้ที่ระดับริมฝีปาก มือขวาอยู่ไม่ไกลจากด้ามปืนนัก หันมาจ้องตาฟิตซ์ซิมม่อนส์ โดยไม่พูดอะไรซักคำ 

ฟิตซ์ซิมม่อนส์ พอเห็นหน้าวายแอ็ทจะๆแล้ว แทนที่จะแสดงการปล่อยหมัดให้ชาวบ้านดูตามที่คุยไว้ กลับเซถอยไป 2-3 ก้าวเหมือนถูกใครชก พอตั้งหลักได้ ก็รีบเดินจ้ำอ้าว ออกจากร้านหายไปเลย 

ทั้งหมดที่กล่าวมา เป็นเพียงเรื่องราวเฉพาะในส่วนที่ตื่นเต้น สนุกสนานและน่าติดตามเท่านั้นครับ 


ช่วงหลังจากนี้ วายแอ็ทอายุย่างเข้า 50 ปีแล้ว คงจะรู้ตัวเองว่า ไม่ควรที่จะเล่นบทบู๊อีกต่อไป ในขณะที่บ้านเมืองก็เริ่มเจริญ เริ่มมีขื่อมีแปมากขึ้นกว่าแต่ก่อน 

อย่างไรก็ตาม ความที่เป็นคนที่ไม่ยอมอยู่เฉยๆ วายแอ็ทก็ยังคงใช้ชีวิต 30 ปีที่เหลือ ตระเวนไปอีกหลายแห่งทั้งในแคลิฟอร์เนีย เนวาด้า และไปจนถึงอล้าสก้าเชียวครับ 


ส่วนใหญ่ยังคงประกอบอาชีพการพนันเป็นหลัก แถมด้วยการลงทุนในที่ดิน เหมืองแร่ และการขุดน้ำมันในยุคแรกๆ 

ในตอนท้ายๆของชีวิต จึงได้กลับมาปักหลักอยู่ที่ลอส แองเจลีส ขณะนั้นฮอลลีวู้ดเริ่มมีการสร้างภาพยนต์แล้ว และได้จ้างวายแอ็ทให้เป็นที่ปรึกษาในการสร้างหนังคาวบอยยุคที่ยังไม่มีเสียงด้วย

 

วายแอ็ท เอิ๊ร์ป เมื่อปี ค.ศ. 1927

วายแอ็ท เอิ๊ร์ป อำลาจากโลกนี้ไปในที่สุด เมื่ออายุเกือบจะเต็ม 81 ในวันที่ 13 มกราคม ค.ศ.1929 ด้วยโรคชรา โดยไม่เคยรู้และไม่เคยคาดคิดเลยว่าเมื่อตายไปแล้ว ชื่อเสียงของตนจะโด่งดังข้ามโลก เป็นที่รู้จักของชาวบ้านมากกว่าประธานาธิบดีของสหรัฐฯ หลายคน


มีผู้คนเขียนหนังสือ สร้างหนัง รวมทั้งวิเคราะห์ประวัติชีวิต และเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกี่ยวกับตนไว้มากมาย ติดต่อกันมาจนถึงทุกวันนี้ 

นับได้ว่า เป็นแบบฉบับของตำนานมือปืนตะวันตก ผู้ไม่เคยกลัวใคร และอยู่ในระดับไร้เทียมทานอย่างแท้จริง สมควรได้รับสมญานามว่าเป็น มือปืนผู้คงกระพัน 

ในตอนต่อๆไป ของคาวบอยกับปืนคู่ใจ ผมจะเล่าถึงเรื่องของขุนพลคู่บารมีของ วายแอ็ท เอิ๊ร์ป ที่ได้เอ่ยถึงไปแล้วในครั้งนี้ให้ฟังกันบ้างนะครับ 


โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แบ๊ท ม้าสเตอร์สัน และ ด๊อค ฮอลลิเดย์ ผู้ต่างมีชีวิตที่โลดโผนผจญภัยในแบบฉบับของตัวเอง ที่แตกกันต่างออกไปอย่างน่าสนใจ และไม่ธรรมดาเช่นกัน

แล้วพบกันใหม่นะครับ 

มาร์แชลต่อศักดิ์

พฤษภาคม 2544