เป็นผู้ที่มีตัวตนจริงๆ และมีชีวิตบู๊โลดโผนผ่านการดวลแบบหูดับตับไหม้มาหลายครั้ง แต่ไม่เคยต้องบาดเจ็บสักครั้งเดียว
แถมอายุยืนที่สุดในบรรดามือปืนยุคเดียวกันเสียด้วย โดยแก่ตายไปเองเมื่อตอนอายุ 81
มีคนนำประวัติไปสร้างเป็นหนังหลายเรื่อง ทั้งจริงบ้างโม้บ้าง (ส่วนใหญ่ก็คงจะโม้นั่นแหละครับ มากบ้างน้อยบ้างเท่านั้น แต่ก็หลอกเอาตังค์ฝรั่งด้วยกันเองไปได้โข รวมทั้งคนไทยอย่างผมและอีกหลายๆท่านแถมไปด้วย)
นอกจากหนังแล้วยังมีหนังสือและบทความต่างๆทั้งในเชิงสาระและบันเทิงอีกมากมาย ทั้งในภาคภาษาฝรั่งและภาษาไทยด้วยอีกเช่นกัน
หนังทำได้ละเอียดดีครับ ถึงจะมีหลายประเด็นที่ไม่ตรงหลักฐานจริงบ้าง แต่โดยรวมก็ถือว่าเป็นหนัง วายแอ็ท เอิ๊ร์ป ที่บรรยายประวัติได้ครบถ้วนที่สุดตั้งแต่มีการสร้างกันมา
ผมว่าต่อให้ลองเรียกวิญญาณ วายแอ็ท เอิ๊ร์ป มาเข้าทรง หรือเล่นผีถ้วยแก้วเชิญแกมาสัมภาษณ์ แกก็จำเรื่องราวในชีวิตของแกทั้งหมดไม่ได้หรอก หรือถึงบอกว่าจำได้ได้เราก็ไม่รู้ว่าแกโม้อีกหรือเปล่าอยู่ดี
เมื่อแกไปสัมภาษณ์ วายแอ็ท เอิ๊ร์ป ที่เวลานั้นอยู่ในวัย 70 กว่าแล้ว แกก็ถามนำ และใช้วิธีที่แกเรียกในภาษาของแกว่า Put words in a mouth of the aging lawman
หรือแปลเป็นไทยว่า “ยัดคำพูดใส่ปากมือปราบแก่ๆ” หลายครั้งเหมือนกัน
หนังสือชีวประวัติเล่มแรกของ วายแอ็ท เอิร์ป ออกตีพิมพ์เมื่อปี ค.ศ.1931 |
ดังนั้น ที่ผมจะคุยต่อไปนี้ ก็ต้องมีทั้งจริงโม้บ้างเช่นเดียวกัน แล้วแต่ว่าได้ข้อมูลมาจากแหล่งใด คงไม่ถือสากันนะครับ เพราะตั้งใจจะให้เป็นเรื่องบันเทิงคดี มากกว่าเป็นการชำระประวัติศาสตร์
บางตอนฟังดูแล้ว ก็จะปรากฏอิทธิฤทธิปาฏิหารย์ ค่อนข้างเหลือเชื่อไม่น้อยเลยละครับ
แต่ นิโคลัส เอิ๊ร์ป ผู้เป็นพ่อหันมาบุกเบิกเรื่องเกษตรกรรมในภายหลัง และย้ายถิ่นฐานไปอยู่ที่รัฐอิลลินอยส์
วายแอ็ท เอิ๊ร์ป (ซ้ายมือ) และพี่น้อง (รูปเล็กทางขวา) ได้แก่ เจมส์ เวอร์จิล มอร์แกน และ วอร์เรน (ขาด นิวตัน พี่ชายคนโต และแอดีเลีย น้องสาว) |
พี่ชายคนหนึ่งคือ
เวอร์จิล และน้องชายที่ชื่อ มอร์แกน นั้น
เมื่อโตแล้วก็ยังใกล้ชิดกัน และใช้ชีวิตผจญภัยดวลปืนกับเหล่าร้ายอย่างดุเดือดร่วมกันอีกด้วย
โดยทั้งสองได้เข้าร่วมแจมกับวายแอ็ท
ในการดวลครั้งประวัติศาสตร์ ที่คอกสัตว์ชื่อว่าโอเค คระราล (OK
Corral) เมืองทูมบ์สโตนในรัฐอริโซนา เมื่อปี ค.ศ.1881 (แล้วจะขยายความอีกทีนึงครับเมื่อเนื้อเรื่องเดินไปถึง)
แต่วายแอ็ทก็ไม่ยอมอยู่เฉย ตอนเย็นเมื่อเสร็จงานในไร่แล้ว ก็จะนำทั้งปืนสั้นและยาวของพ่อมาฝึกฝนจนแม่นยำ โดยใช้อีแร้งกับกระต่ายป่าเป็นเป้า
พออายุ 17 ก็ไปรับจ้างขับรถม้าโดยสารระหว่างเมือง ลอส แองเจลีส กับ ซาน เบอร์นาร์ดิโน
จนเมื่ออายุยังไม่ถึง 20 ก็ได้เป็นถึงหัวหน้ากองสอดแนมในการรบกับอินเดียนแดง ให้กับกองทหารม้าสหรัฐฯประจำภาคตะวันตกเฉียงใต้
เริ่มจากสมัครเข้าเป็นอาสาล่าควาย เดินทางไปกับคณะสำรวจของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่กำลังทำแผนที่ในแถบรัฐแคนซัส
ค่าจ้างในขณะนั้นคือปี ค.ศ.1870 ตกวันละ 35 เหรียญ บวกด้วย 10 เซ็นต์ต่อปอนด์สำหรับเนื้อควาย นับว่าไม่เบาทีเดียวเลยนะครับ
ทั้ง 2 ยังไม่หายมัน ตกลงจับมือกันเป็นคู่หูฟรีแลนซ์ ออกล่าควายกันแค่ 2 คนต่อไป
แต่เดิมนั้น ทีมล่าควายจะขี่ม้าไล่ตามยิงควาย ทำให้ฝูงควายแตกตื่นหนีไปหมดอย่างรวดเร็ว และนักล่าส่วนใหญ่จะใช้แต่ปืนไรเฟิลช้าร์ปส์ (Sharps) ซึ่งหนักและถีบแรงมาก
วายแอ็ทกับแบ๊ท เปลี่ยนเป็นใช้วิธีย่องเท้าเข้าหาให้ได้ระยะยิงใกล้ที่สุด และใช้ปืนลูกซองซึ่งเบา และยิงได้คล่องตัวกว่า สามารถส่องตูมๆล้มได้หลายตัว กว่าควายที่ยังไม่ถูกยิงจะเริ่มได้กลิ่นเลือดแล้วหนีไป
วายแอ็ท เอิ๊ร์ป ในวัยหนุ่มฉกรรจ์ |
ระหว่างที่วายแอ็ทพักอยู่ที่เมืองแคนซัสซิตี้ ก็ได้แรงบันดาลใจที่จะฝึกฝนฝีมือในการใช้ปืนสั้น โดยได้ครูดีอย่าง เจมส์ บั๊ทเลอร์ หรือ ไวลด์ บิล ฮิกค็อก (Wild Bill Hickok) ซึ่งถือว่าเป็นสุดยอดปรมาจารย์สำหรับวิทยายุทธ์ปืนลูกโม่บรรจุ 6 นัด เป็นผู้ฝึกฝน
ปืนโค้ลท์ ซิงเกิ้ล แอ๊คชั่น ขนาด .45 เป็นปืนที่หาง่ายในตลาดและราคาไม่แพง จึงเป็นที่นิยมของเพวกคาวบอย และมือปืนตะวันตกในยุคนั้นเป็นอย่างมาก |
มิไยครู ไวลด์ บิล จะเตือนว่า ออกจากที่นี่ไปแล้ว จะพบแต่บ้านป่าเมืองเถื่อนทั้งนั้น ควรจะต้องมีปืนติดไว้สำหรับป้องกันตัว ก็ไม่ยอมเชื่อ ตอบแต่อย่างเดียวว่า ว่าจะไปหางานประเภทโลว์โพรไฟล์ ที่เรียบๆสงบๆทำเท่านั้น
เมื่อเงินเดินสะพัด ธุรกิจต่อเนื่องก็เริ่มตามมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถานบริการ สำหรับคาวบอยอกสามศอกทั้งหลายมาแวะพักผ่อนหย่อนใจ มีบาร์ บ่อน เป็นหลัก (หากเป็นยุคนี้ก็ต้องเรียกว่า เอนเตอร์เทนเม้นท์เซ็นเตอร์ ที่บรรดานักการเมืองผู้มีเกียรติของเราหลายท่านสนับสนุน อยากจะทำให้เป็นของถูกกฎหมายกัน)
อยู่มาวันหนึ่งมีนักเลงโตจากเท็กซัส ชื่อว่า เบ็น ธอมป์สัน กับน้องชายชื่อบิล ทั้งคู่มีชื่อเสียงโด่งดัง ทั้งในทางแม่นปืนและดุร้ายโหดเหี้ยม ยิงคนตายไปแล้วกว่า 20 คน
ผู้คนพากันแตกตื่น รวมทั้งผู้ช่วยนายอำเภอทั้งสอง ที่วิ่งหนีไปซ่อนอยู่หลังประตู ไม่มีใครกล้าเข้าไปตอแย
ส่วนเบ็นนั้น ยังไม่ไป อยู่สั่งเหล้ากินต่อ แถมยังกวักมือเรียกผู้ช่วยนายอำเภอทั้งสอง ซึ่งยังอยู่ในอาการอุจจาระหดผายลมหาย และบรรดาคาวบอยมุงที่ยังเหลืออยู่นั้นว่า ใครแน่ก็ออกมาจับซิ
แล้วเชื่อไหมครับว่า แค่วายแอ็ทเดินเข้าไปจ้องตากับเบ็น (นึกภาพฉากจ้องตากันที่ชอบใช้บ่อยๆ ในหนังคาวบอยสปาเก๊ตตี้ที่ คลิ้นท์ อี๊สท์วู้ด เล่นด้วยนะครับ) แล้วก็ถามว่า จะยิงกันหรือจะยอมแพ้ให้จับ
เท่านั้นเอง นักเลงโตที่ขึ้นชื่อว่าดุร้ายโหดเหี้ยมนักหนา ฆ่าคนมาเยอะแยะ นาม เบ็น ธอมป์สัน ก็ยอมให้จับเข้าคุกไปโดยดีเสียเฉยๆ ไม่มีการยวนยี ยอกย้อน หรือยึกยักแต่อย่างใดทั้งสิ้น
วายแอ็ทเข้ารับตำแหน่งผู้ช่วยนายอำเภอ ท่ามกลางความหมั่นไส้ของบรรดานักเลงโตประจำท้องถิ่นทั้งหลาย หลังจากได้ยินเรื่องราวของวายแอ็ทที่เมืองเอลสเวิร์ธ ต่างก็ฮึ่มฮั่มยากจะลองของกันทั้งนั้น
ฝ่ายวายแอ็ท ซึ่งบัดนี้กลายเป็นเจ้าหน้าผู้พิทักษ์สันติราษฎร์เต็มตัวแล้ว ถึงจะมีปืนพกติดตัวตลอดเวลา ก็พยายามอดกลั้นและระวังตัวอยู่
พอเดินถึงร้านโชว์ห่วย (หรือ General Store ที่เห็นกันบ่อยๆในหนัง) ก็หลบเข้าไปในร้าน คว้าปืนลูกซองแฝดมาได้กระบอกนึง บรรจุกระสุนง้างนก เปิดประตูกลับออกมานอกร้าน ก็ได้จังหวะที่เหล่าร้ายทั้งฝูงเดินตามมาทัน
เท่านั้นเองทุกคนก็โยนปืนทิ้งลงพื้นกันหมด ปล่อยให้วายแอ็ท ต้อนเข้าคุกแต่โดยดี นับทั้งหมดได้ 21 คนไม่ขาดไม่เกิน
นายกเทศมนตรีจึงว่าจ้างวายแอ็ทมาทำงานร่วมเป็นทีมมือปราบ โดยให้เงินเดือน 250 เหรียญ
มุมหนึ่งของเมือง ด๊อดจ์ ซิตี้ จัดทำเป็นพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ จำลองบรรยากาศย้อนยุค (บันทึกภาพไว้เมื่อปี ค.ศ. 1979) |
เนื่องจาก ด๊อดจ์ ซิตี้ เป็นเมืองใหญ่ วายแอ็ทเลยต้องชวนผู้ที่ฝีมือดี และไว้วางใจได้มาช่วยกันหลายๆคน หนึ่งในนั้นคือ แบ๊ท ม้าสเตอร์สัน บั๊ดดี้เก่าที่เคยล่าควายด้วยกัน
ว่าแล้ว ก็ตัดสินใจลงมือทำใหม่จริงๆ โดยไม่ต้องอาศัยทั้งเสียงสนับสนุนจากคนรุ่นเก่า หรือรอฟังประชามติ ด้วยการประกาศ ’เขตปลอดอาวุธ’ บังคับพวกคาวบอยทั้งหลายให้ฝากปืนทิ้งไว้กับเจ้าหน้าที่ก่อน จึงจะเข้าไปทำธุระหรือเที่ยวเตร่ในเมืองได้ โดยไม่มีข้อยกเว้นใดๆทั้งสิ้น
ป้ายจำลองตัวอย่างเขตปลอดอาวุธของเมือง ด๊อดจ์ ซิตี้ ที่หน้าซุ้มรับฝากอาวุธ (อีตาคนทางขวานั่นสงสัยไม่กล้าเข้า) |
แน่นอนครับว่า เกิดความหมั่นไส้และฮึดฮัดกันขึ้นมาทันที ทั้งในหมู่นักเลงโตและนักเลงกระจอก ทั้งรุ่นใหม่และรุ่นเก่า
ตามมาด้วยการลงขันกันว่าจ้างมือปืนอาชีพ ให้มาจัดการกับวายแอ็ทเสีย
แต่สามารถข่มขู่ลูกขุนทั้งคณะ จนรอดพ้นความผิดได้ เกิดความฮึกเหิมเหมือนลูกใครไม่รู้เป็นอันมาก
แล้วก่อความไม่สงบ ด้วยการระดมยิงทุกอย่างที่ขวางหน้า ไล่มาจนถึงกลางเมือง
จึงเจอเข้ากับวายแอ็ท ผู้ยืนคอยดูอยู่อย่างไม่สะทกสะท้าน เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ส่วนวายแอ็ทนั้น เหมือนอภินิหารอีกเช่นเคย คือแคล้วคลาด ไม่โดนกระสุนขีดข่วนหรือเฉียดฉิวแต่อย่างใด
พอถึงหน้า ลองแบร๊นช์ ซาลูน ก็ลงจากหลังม้าพากันบุกเข้าไปข้างใน พังข้าวของแล้วก็ข่มขู่ลูกค้าไปด้วย
พอผลักบานประตูเข้าไป ก็เจอปากกระบอกปืนเป็นตับจ้องรออยู่
ตัวเองพกปืนอยู่ก็จริง แต่ขืนแค่เพียงทำท่าว่าจะชักปืนขึ้นสู้คนตั้งห้าสิบ ก็คงไม่พ้นถูกรุมยิงเละอยู่ตรงนั้นแน่
จึงได้แต่ยืนคุมเชิงกันแต่ไม่ยอมถอย ในใจก็คิดว่า ถ้าต้องตายละก็ จะพาพวกนี้ไปร่มทัวร์เมืองผีด้วยอย่างน้อยซักสี่ห้าคน
และแล้ว นักเลงโตผู้ฝันอยากจะเก็บนายอำเภอชื่อดัง ก็รู้สึกว่า มีปืนอีกกระบอกมาจ่ออยู่ตรงขมับตัวเองพอดี
เห็นว่าอะไรเป็นอะไรแล้ว ก็ย่องเข้ามาข้างหลัง ตอนที่เอ๊ดกับลูกสมุนมัวแต่สนใจอยู่กับวายแอ็ท
เท่านั้นเอง ปืนกว่า 50 กระบอก ก็ลงไปกองอยู่กับพื้น
แต่เพราะความที่รู้ตัวว่า จะต้องตายไม่วันนี้ก็พรุ่งนี้อยู่แล้ว ก็เลยไม่แคร์กับอะไรทั้งสิ้น ขอใช้ชีวิตโลดโผนดุเดือดให้สะใจไปวันๆดีกว่า ในขณะที่ฝีมือและไหวพริบนั้นไม่เป็นรองใครทีเดียว
เอาเป็นว่า ไม่จัดอยู่ในพวกยี้ก็แล้วกันนะครับ
และยังมี แบ๊ท ม้าสเตอร์สัน คู่หูเดิม มาเข้าร่วมวงด้วยอีกคน
ข้างด๊อคนั้น ก็ให้ความนับถือวายแอ็ท ไม่เคยสร้างปัญหาให้ใคร
ในที่สุดที่นี่ก็กลายเป็นแหล่งชุมนุมของบรรดาคนดัง พ่อค้าวาณิชและนักการเมืองที่เดินทางผ่านไปมามากมาย
ที่ ด๊อดจ์ ซิตี้ นี่อีกเหมือนกันครับ ที่ว่านักเขียนนิยายเล่มละ 10 สตังค์ หรือ Dime Novel ชื่อดังในยุคนั้น นามปากกว่า เน็ด บั๊นท์ไลน์ ได้มอบปืน โค้ลท์ ซิงเกิ้ล แอ๊คชั่น อาร์มี่ รุ่นพิเศษลำกล้องยาว 12 นิ้ว สั่งทำโดยเฉพาะเจาะจงจากโรงงาน เรียกขานกันว่ารุ่น บั๊นท์ไลน์ สเปเชี่ยล ให้กับวายแอ็ทและผู้ช่วยทั้งหลายเป็นการเฉพาะ
เริ่องนี้ในปัจจุบันยังเป็นที่ถกเถียงกันอย่างกว้างขวางว่าจริงหรือไม่ ต่างฝ่ายต่างมีหลักฐานมาอ้างอิงกันทั้งนั้น
ซึ่งผมจะไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดละนะครับ แต่หากหาปืนรุ่นนี้ได้ หรือท่านใดมีอยู่จะนำมาโชว์หรือทดสอบ ก็จะได้ทั้งสาระและความสนุกสนานยิ่งขึ้น
ปืน โค้ลท์ ซิงเกิ้ล แอ๊คชั่น อาร์มี่ รุ่นพิเศษ "บั๊นท์ไลน์ สเปเชี่ยล" กระบอกนี้มี ความยาวลำกล้องถึง 16 นิ้ว สามารถต่อพานท้ายแบบโครงเหล็ก เพื่อประทับยิงแบบปืนคาร์ไบน์ได้ |
เมื่อถึงปี ค.ศ.1879 เมือง ด๊อดจ์ ซิตี้ เริ่มเข้าสู่ความเป็นระเบียบเรียบร้อย วายแอ็ทจึงบอกลาไปผจญภัยต่อ ตามคำชวนของเวอร์จิลพี่ชาย ซึ่งขณะนั้นทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยนายอำเภอ และควบตำแหน่งหัวหน้าตำรวจอยู่ที่เมืองทูมบ์สโตน (Tombstone) ในอริโซน่า
ก่อนหน้านี้ น้องชายคือมอร์แกน ก็ได้รับคำชวนเช่นกัน และล่วงหน้าไปถึงแล้ว
จากนั้นก็มีสองพี่น้อง แฟร้งค์ กับ ทอม แม็คลอรี่ ตามด้วย ฟลอเรนทีโน่ ครุซ ที่ชาวบ้านเรียกว่า อินเดียน ชาร์ลี
แล้วยังมี พีท สเป๊นซ์ อีกทั้ง แฟร้งค์ สติลเวลล์ และอื่นๆ (แค่นี้ก็หลายคน จำแทบไม่หมดแล้วนะครับทั้งชื่อจริงชื่อเล่น แต่ถ้ามีน้อยคนก็แปลว่าไม่กว้างขวางจริงซิครับ)
นอกจากนั้นยังปล้นทรัพย์ และรีดไถค่าคุ้มครองจากรถม้าโดยสารด้วย
ที่สามารถทำธุรกิจนอกระบบอยู่ได้ ก็เพราะมีเชอร์ริฟที่ชื่อ จอห์น บีแฮน เป็นพวก
พอมีคนมากระซิบบอกว่า ลองไปหาแถวๆไร่ของพวกแคลนตั้น ดูซิ
เลยเกิดมีปากเสียงกันอยู่พักใหญ่ แต่ในที่สุดบิลลี่ก็ยอมให้วายแอ็ทเอาม้าคืนไป อย่างไม่ค่อยสบอารมณ์นัก
แถมพบอีกว่า ที่บ้านดังกล่าวมีอุปกรณ์สำหรับตีตราใหม่ เอาไว้สำหรับลบตราประทับความเป็นเจ้าของเดิมด้วย
ประกาศนี้ ทำให้พวกแม็คลอรี่โมโห และเจ็บแค้นว่า พวกเอิ๊ร์ปเป็นตัวการทำให้เสียชื่อเสียง
ลูกไม้นี้และเหตุการณ์สังหารเจ้าหน้าที่บ้านเมืองอย่างอุกอาจกลางที่สาธารณะนี้ กลายเป็นเรื่องโด่งดังที่สุดเรื่องหนึ่ง ที่มีการบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์คาวบอยตะวันตกเลยละครับ
ทำให้ผู้รับมองดูเหมือนว่า ทั้งปลอดภัยและสะดวกที่จะหยิบฉวยไป
คือ งอนิ้วชี้ให้เป็นตะขอ สอดเข้าไปในโกร่งไก ปล่อยปืนที่กำไว้ ให้หงายตกลงมาแขวนอยู่กับข้อนิ้ว แล้วตวัดควงปืนหมุนด้ามขึ้นมากำไว้ ปากกระบอกปืนหันกลับไปอยู่ด้านหน้า ง้างไกเพื่อขึ้นลำด้วยนิ้วโป้ง โดยยังคงนิ้วชี้ไว้ในโกร่งไก
จึงคว้าปืนของตัวเองออกมา ตีบิลผมลอนเข้าที่หัว แล้วส่งให้เวอร์จิลลากเข้าคุกไป ด้วยข้อหาฆ่าเจ้าพนักงานโดยเจตนา
และแน่นนอนครับว่า ต้องหมายหัววายแอ็ทไว้ ในฐานะผู้ที่ทำให้ตนต้องเดือดร้อนเสียเวลา (และยังเจ็บตัวเพราะถูกตีด้วย)
ด้วยการมีเรื่องเขม่นกับ จอห์นนี่ ริงโก้ ซึ่งตามประวัติกล่าวว่า เคยเรียนหนังสือมาสูงเหมือนกัน แต่มีปัญหาทางจิต เป็นพวกเก็บกดโมโหร้ายทำอะไรไม่ยั้งคิด
โดยตัวเองและพรรคพวกพากันเที่ยวพูดจาไปทั่ว โดยเฉพาะในซาลูนที่มีคนแยะๆว่า จะจัดการส่งพวกพี่น้องเอิ๊ร์ป กับ ด๊อค ฮอลลิเดย์ ลงหลุมเสียในเร็วๆนี้
เกือบจะลงไม้ลงมือกัน ก็พอดีเวอร์จิลและมอร์แกนรีบมาจับแยกออกจากกันได้ทัน
โดย ไอ๊ค์ แคลนตั้น ถือปืนลูกซองเดินมาตามถนน ร้องด่าท้าทายมาคนเดียวก่อน แต่แล้วก็ถูกเวอร์จิลในฐานะนายอำเภอจับกุมในข้อหาก่อความไม่สงบ ส่งศาลปรับทันที 25 เหรียญ ยึดปืนไว้ด้วย
เส้นทางการเคลื่อนพล ของพวกแคลนตั้น และพวกเอิ๊ร์ป อันนำไปสู่การเผชิญหน้ากัน ที่ บริเวณใกล้กับ โอเค คระราล |
ท่ามกลางผู้คนมากมายที่คอยลุ้นว่าจะลงเอยกันอย่างไร (สงสัยพวกนักพนันทั้งนั้น)
แต่ที่ไม่เถียงกันเลยก็คือ ทุกคนเล่าตรงกันว่า พอเวอร์จิลได้ยินเสียง “กริ๊ก!” ก็อุทานออกมาดังๆว่า Hold it! I don’t mean that!
ในสถานการณ์แบบนี้ หากแปลโดยใส่อารมณ์แบบไทยๆก็ คงหมายถึงอะไรที่เกี่ยวกับการเสียชีวิตด้วยอหิวาตกโรคนั่นแหละครับ
รายละเอียดผมขออนุญาตไม่บรรยายละนะครับ ขอแนะนำว่าให้หาหนังเรื่อง วายแอ็ท เอิ๊ร์ป หรือทูมบ์สโตน ที่ผมกล่าวถึงไปแล้วเมื่อครั้งก่อนมาดูกันดีกว่า จะได้อรรถรสที่สุดครับ ยังไงๆ สิบปากว่าก็ไม่เท่าตาเห็น
ทั้งสองเรื่องเดินเรื่องและจัดฉากแสดงภาพการดวลอย่างละเอียดทุกแง่ทุกมุม ชนิดที่เรียกว่า ต่อให้สถานีโทรทัศน์ CNN ส่งทีมข่าวย้อนยุคกลับไปก็ไม่สามารถเก็บได้รายละเอียดขนาดนี้
ส่วนอีก 2 คน บิลลี่ เคลย์บอร์น วิ่งหนีหายตัวไปเสียก่อน หลังจากเสียงปืนนัดแรกดังขึ้น
แต่วายแอ็ทไม่ยอม ยันกลับออกไป บอกว่า การต่อสู้เริ่มขึ้นแล้ว ถ้าไม่สู้ก็วิ่งหนีไปซะ
ไอ๊ค์จึงวิ่งหนีเข้าไปใน ฟลายส์ แกลเลอรี่ ออกประตูหลังหายไปอีกคน
สำหรับวายแอ็ทนั้น กระสุนแค่วิ่งทะลุชายเสื้อโค้ตไปนัดนึง ตัวเองไม่เป็นอะไรเลย
ภาพเขียนบรรยายการดวลครั้งประวัติศาสตร์ ที่ โอเค คระราล เมืองทูมบ์สโตน ฝีมือของ ลีอา เอ็ฟ. แม็คคารที วาดไว้เมื่อปี ค.ศ. 1959 |
ก่อนจะว่าต่อไป ขอแถมเกร็ดเล็กน้อยนะครับว่า บริเวณที่เกิดการยิงกันนี้ ปัจจุบันกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของเมืองทูมบ์สโตนไปแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่หนังชื่อเดียวกันออกฉายเมื่อหลายปีก่อน
แถมมีคำขวัญประจำเมืองว่า A town too tough to die หรือ “เมืองอึดไม่ยอมตาย” เสียด้วย (ส่วนสมัยนั้นจะใช้คำขวัญอื่นหรือเปล่านักประวัติศาสตร์ไม่ได้บันทึกไว้ แต่คงไม่ใช่ประเภท เมืองขนมหม้อแกงแหล่งธรรมะ หรืออะไรแบบนั้นแน่)
ชื่อถนนหนทางต่างๆก็ยังคงอยู่ตามเดิม มีการจำลองสถานที่ต่างๆที่เอ่ยชื่อไปแล้วไว้ให้ดู
ด้านหน้าของ โอเค คระราล บนถนนแอลเล็น เมืองทูมบ์สโตน (บันทึกภาพไว้เมื่อปี ค.ศ. 1980) |
แถมมีหุ่นปูนปั้นเท่าตัวจริงของมือปืนทั้ง 9 คน ตั้งไว้ในตำแหน่งก่อนที่จะเริ่มยิงกันด้วย ดูคล้ายๆอุทยานประวัติศาสตร์เหมือนกันนะครับ
หุ่นปูนปั้นจำลอง ขนาดเท่าตัวจริง ของมือปืนทั้ง 9 คน ในตำแหน่งจริงที่เผชิญหน้าและยิงกัน ฝั่งที่ยืนหันหลังให้กล้อง คือพวกแคลนตั้น ฝั่งตรงข้ามที่เดินรี่เข้ามา คือพวกเอิ๊ร์ป |
ทุกตัวมีป้ายชื่อกำกับไว้ ให้รู้ว่าใครเป็นใคร (ส่วนตรงกลางนั่นไม่รู้ใครครับ ไม่ยักกลัวลูกหลงแฮะ) |
เสร็จจากการดวลเพียงอาทิตย์กว่าๆ วายแอ็ทกับพวกถูก ไอ๊ค์ แคลนตั้น ฟ้องศาลแจ้งข้อหาเจตนาฆ่าโดยผู้อื่นที่ไม่มีอาวุธและไม่ได้ต่อสู้ แต่หลังจากเรียกสอบพยานและพิจารณาหลักฐานต่างๆแล้ว ศาลตัดก็สินยกฟ้อง
ขึ้นปีใหม่ วันที่ 18 มีนาคม มอร์แกนกับวายแอ็ทถูกลอบยิง ขณะกำลังเล่นบิลเลียดด้วยกัน มอร์แกนโชคร้ายโดนเข้ากลางหลังจังๆถึงตาย
ส่วนวายแอ็ทนั้นแคล้วคลาดเช่นเคย กระสุนวิ่งเข้าข้างฝาแทน
ออกตระเวณเก็บกวาดสมุนแคลนตั้น ที่วายแอ็ทเชื่อว่าเป็นคนลอบยิงพี่น้องของตัวทั้งหมดเสียเกลี้ยง
ไล่ไปตั้งแต่ แฟร้งค์ สติลเวลล์, อินเดียน ชาร์ลี, บิลผมลอน โบรเชียส แล้วก็ จอห์นนี่ ริงโก้ (รายละเอียดขออนุญาตแนะนำว่าให้ดูจากหนัง 2 เรื่องที่กล่าวถึงไปแล้วอีกเหมือนกันครับ)
ที่นั่น ได้อาศัยเพื่อนเก่าคือ แบ๊ท ม้าสเตอร์สัน ซึ่งเป็นมาร์แชลอยู่ที่เมืองทรินิแดด ช่วยเหลือไม่ให้ต้องถูกส่งตัวกลับไปอริโซนา หลังจากที่เชอร์ริฟบีแฮน ผู้เป็นพวกของแคลนตั้น แจ้งข้อหาจับทั้งวายแอ็ทและด๊อค ขอให้ส่งผู้ร้ายข้ามแดนกลับไปให้
ขณะที่วายแอ็ทกับแบ๊ท ได้รับข่าวจากเพื่อนเก่าอีกคนหนึ่งชื่อ ลุค ช้อร์ท ผู้เคยเป็นหุ้นส่วนลงทุนทำซาลูนร่วมกัน ทั้งคู่กลับไปเยือน ด๊อดจ์ ซิตี้ อีกครั้งหนึ่งในปี ค.ศ.1883 เพื่อช่วยไกล่เกลี่ยข้อพิพาทที่ ลุค ช้อร์ท เกิดไปมีเข้ากับเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง จนตกลงกันได้
เป็นข่าวใหญ่พาดหัวในหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น ดังไม่แพ้เรื่องการยิงกันที่ทูมบ์สโตนเลย
วันที่ 2 ธันวาคม มีการแข่งขันชกมวยครั้งสำคัญที่เมือง ซาน ฟรานซิสโก เป็นการพบกันระหว่าง ชาร์กี้ และ ฟิตซ์ซิมม่อนส์
ผู้จัดการแข่งขัน ขอร้องให้วายแอ็ทขึ้นเวทีเป็นกรรมการตัดสิน ในนาทีสุดท้ายก่อนจะเริ่มชก โดยให้เหตุผลว่าเป็นผู้เดียวที่นักมวยทั้ง 2 ยอมรับ
ตำรวจประจำสนามเลยต้องจัดการปลดอาวุธเสียก่อน และเปรียบเทียบปรับไป 50 เหรียญ การชกจึงเริ่มต้นได้
หลังจากชกกันไปได้ระยะหนึ่ง ฟิตซ์ซิมม่อนส์ก็ปล่อยหมัดเด็ดน็อค ชาร์กี้ลงไปนอนวัดพื้น แต่กลับถูกวายแอ็ทจับแพ้ฟาวล์ฐานชกใต้เข็มขัด
เกิดเป็นเรื่องราวขึ้นมาทันที เพราะมีทั้งคนดูที่เห็นว่าฟาวล์จริงเท่าๆกับคนที่ไม่เห็น
ปรากฏว่าศาลไม่รับฟ้อง ไม่ใช่เพราะหลักฐานอ่อน แต่เป็นเพราะศาลเห็นว่า ตนไม่มีอำนาจวินิจฉัยว่ามวยชกถูกต้องหรือไม่ถูกต้องอย่างไร
พอเดินเข้าร้านมา ก็คุยส่งเสียงดังไปทั่วร้านว่า วันนั้นถูกวายแอ็ทปล้นชัยชนะ ถ้าเจอหน้ากันอีกจะๆละก็ จะสั่งสอนด้วยการแสดงให้ทุกคนเห็นว่า กำปั้นนั้นสามารถวิ่งได้เร็วกว่าชักปืนมากนัก
แต่คนอื่นๆทั้งหมดในร้านเห็น และรู้จักด้วยว่าเป็นใคร ก็เลยเงียบกริบกันไปหมดทั้งร้าน
พอเสียงในร้านเงียบลงไปเฉยๆ ฟิตซ์ซิมม่อนส์ก็หันไปดูว่ามีอะไรหรือ ถึงได้รู้ตัวว่า กำลังยืนกระทบไหล่วายแอ็ท โดยมีสายตาของทุกคนในร้านมองดูอยู่
ช่วงหลังจากนี้ วายแอ็ทอายุย่างเข้า 50 ปีแล้ว คงจะรู้ตัวเองว่า ไม่ควรที่จะเล่นบทบู๊อีกต่อไป ในขณะที่บ้านเมืองก็เริ่มเจริญ เริ่มมีขื่อมีแปมากขึ้นกว่าแต่ก่อน
ส่วนใหญ่ยังคงประกอบอาชีพการพนันเป็นหลัก แถมด้วยการลงทุนในที่ดิน เหมืองแร่ และการขุดน้ำมันในยุคแรกๆ
วายแอ็ท เอิ๊ร์ป เมื่อปี ค.ศ. 1927 |
วายแอ็ท เอิ๊ร์ป อำลาจากโลกนี้ไปในที่สุด เมื่ออายุเกือบจะเต็ม 81 ในวันที่ 13 มกราคม ค.ศ.1929 ด้วยโรคชรา โดยไม่เคยรู้และไม่เคยคาดคิดเลยว่าเมื่อตายไปแล้ว ชื่อเสียงของตนจะโด่งดังข้ามโลก เป็นที่รู้จักของชาวบ้านมากกว่าประธานาธิบดีของสหรัฐฯ หลายคน
มีผู้คนเขียนหนังสือ สร้างหนัง
รวมทั้งวิเคราะห์ประวัติชีวิต และเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกี่ยวกับตนไว้มากมาย
ติดต่อกันมาจนถึงทุกวันนี้
นับได้ว่า
เป็นแบบฉบับของตำนานมือปืนตะวันตก ผู้ไม่เคยกลัวใคร
และอยู่ในระดับไร้เทียมทานอย่างแท้จริง สมควรได้รับสมญานามว่าเป็น
มือปืนผู้คงกระพัน
ในตอนต่อๆไป ของคาวบอยกับปืนคู่ใจ
ผมจะเล่าถึงเรื่องของขุนพลคู่บารมีของ วายแอ็ท เอิ๊ร์ป
ที่ได้เอ่ยถึงไปแล้วในครั้งนี้ให้ฟังกันบ้างนะครับ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แบ๊ท ม้าสเตอร์สัน และ ด๊อค ฮอลลิเดย์ ผู้ต่างมีชีวิตที่โลดโผนผจญภัยในแบบฉบับของตัวเอง ที่แตกกันต่างออกไปอย่างน่าสนใจ และไม่ธรรมดาเช่นกัน
แล้วพบกันใหม่นะครับ
มาร์แชลต่อศักดิ์
พฤษภาคม 2544
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แบ๊ท ม้าสเตอร์สัน และ ด๊อค ฮอลลิเดย์ ผู้ต่างมีชีวิตที่โลดโผนผจญภัยในแบบฉบับของตัวเอง ที่แตกกันต่างออกไปอย่างน่าสนใจ และไม่ธรรมดาเช่นกัน
แล้วพบกันใหม่นะครับ
พฤษภาคม 2544