ด๊อค ฮอลลิเดย์ มือปืนประชดชีวิต


เป็นเซียนพนันที่หาตัวจับยากที่สุด และเป็นนักเลงปืนหกนัดที่บ้าบิ่นที่สุด ไวที่สุด แล้วก็อันตรายที่สุดที่เคยเห็นมา วายแอ็ท เอิ๊ร์ป เป็นผู้กล่าวข้อความนี้เมื่อพูดถึง ด๊อค ฮอลลิเดย์

ลักษณะเด่นที่สุดของ ด๊อค ฮอลลิเดย์ ก็คือ ความกล้าหาญไม่เคยเกรงกลัวอะไรเลย และความจงรักภักดีที่มีต่อต่อ วายแอ็ท เอิ๊ร์ป อย่างเสมอต้นเสมอปลาย อันนี้เป็นคำกล่าวของ แบ๊ท ม้าสเตอร์สัน 

ไอ้ปอดเน่าตัวแสบ เป็นคำที่ ไอ๊ค์ แคลนตัน ใช้เรียก ด๊อค ฮอลลิเดย์ ก่อนที่จะพาน้องชายและพรรคพวกอีก 2 คน
ไปตายในการดวลปืนกับพี่น้องเอิ๊ร์ปและ ด๊อค ฮอลลิเดย์ ที่ โอเค คระราล 

ฮอลลิเดย์เป็นผู้ที่ได้รับการกล่าวขานกันว่าเป็นนักสู้ เคยเก็บกวาดพวกโจรและเหล่าร้ายลงหลุมไปแล้วหลายคน ประโยคนี้ตัดตอนมาจากข่าวในหนังสือพิมพ์ เดอะ เดนเว่อร์ รีพับลิกัน ฉบับประจำวันที่ 22 มีนาคม ค.ศ.1882 

ความที่รู้ตัวว่ากำลังจะตาย ก็เลยทำอะไรหลายอย่างที่หากเป็นปกติแล้วคงไม่กล้าทำ เป็นข้อสังเกตของนักประวัติศาสตร์ชาวอริโซน่า นามว่า เบ็น ที. เทรย์วิค เขียนไว้ในหนังสือประวัติชีวิตของ ด๊อค ฮอลลิเดย์ 

ผมเชื่อว่าท่านผู้อ่านที่ติดตาม กันส์ เวิลด์ มาโดยตลอด ตั้งแต่ก่อนที่ผมจะเริ่มเขียนเรื่องคาวบอยกับปืนคู่ใจนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านที่เป็นคอลูกทุ่งตะวันตกทั้งหลาย คงจะมีน้อยคนที่ไม่รู้จัก หรือไม่เคยได้ยินชื่อ ด๊อค ฮอลลิเดย์ มาก่อน 

ทั้งนี้เนื่องจากหมอเป็นคาวบอยและมือปืนในระดับที่เรียกได้ว่าเป็นคนดังในวงการคนหนึ่ง ตั้งแต่ในสมัยนั้นมาจนถึงสมัยนี้ คำกล่าวถึงจากใครๆหลายคนตามตัวอย่างข้างต้น คงเป็นเครื่องรับประกันได้เป็นอย่างดี 

นอกจากนั้นแล้วหมอยังมีทั้งที่มา และแง่มุมของชีวิตที่ออกจะแตกต่างไปจากเพื่อนร่วมรุ่นเดียวกันทั้งหมด จะจัดว่าเป็นพระเอกก็ไม่ใช่ จะเป็นผู้ร้ายก็ไม่เชิง 

ถ้าจะเปรียบเทียบให้ใกล้เคียงที่สุด ก็ต้องบอกว่า ออกจะเป็นประเภทพวกตัวแสบชนิดกัดไม่เลือกและไม่เลิก  แบบที่รัฐบาลฝ่ายเทพต้องมีเอาไว้ใช้ต่อกรกับพวกพรรคมาร ที่บางทีก็เผลอปล่อยให้กัดเพลินไปหน่อย จนทำท่าจะลากรัฐบาลพังตามไปกลายเป็นมารไปด้วย 

จะใช่หรือไม่ใช่อย่างไร ขอเชิญพิจารณาดูจากเรื่องราวทั้งหมดเกี่ยวกับตัวหมอ เท่าที่ค้นคว้าหามาเล่าสู่กันฟังในครั้งนี้ได้นะครับ 

คงไม่ผิดที่ใช้คำว่า หมอ เป็นสรรพนามแทนตัวด๊อค (ไม่ใช่ ด๊อก นะครับ เดี๋ยวจะกลายเป็นหมอลากข้างไป) เพราะหากจะเรียกชื่อให้เต็มยศตามที่ใช้กันในสมัยนั้น ก็จะต้องใช้ว่า นายแพทย์ จอห์น เฮ็นรี่ ฮอลลิเดย์ ทันตแพทย์ศาสตร์บัณฑิต (John Henry Holliday, D.D.S.) 

เริ่มต้นก็คงพอจะเห็นแล้วนะครับ ว่าไม่น่าจะเกี่ยวกับวงการคาวบอยหรือมือปืนสักเท่าไรเลย เป็นหมอก็น่าจะอยู่ส่วนหมอ รักษาคนไข้ไปในฐานะที่เป็นผู้มีจิตใจเมตตา มุ่งมั่นที่จะบำบัดโรคภัยไข้เจ็บให้กับเพื่อนมนุษย์ เรื่องอะไรถึงจะไปหาเรื่องตีรันฟันแทงหรือยิงกับคนอื่นเขา 

ก็ตอบยากนะครับ เพราะร้อยกว่าปีให้หลัง จากยุคคาวบอยครองบ้าน จนมาเป็นโซเชียลมีเดียครองเมือง เปลี่ยนจากพกปืนหกนัด มาเป็นพกมือถืออย่างทุกวันนี้ เราก็ยังมีโอกาสได้เห็นว่า มีหมอประเภทที่อยู่ดีๆก็ลุกขึ้นมาแทงฟันหั่นคนอื่น ให้เป็นเรื่องเป็นราวฮือฮาอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน 

จอห์น เฮนรี่ หรือที่ใครๆต่างพากันเรียกว่า ด๊อค ฮอลลิเดย์ เกิดที่เมือง กริฟฟิน (Griffin) ในรัฐจอร์เจีย (Georgia) เมื่อวันที่14 สิงหาคม ค.ศ.1851 เป็นบุตรคนโตของ เฮนรี่ เบอร์โรส์ (Henry Burroughs) และ อลิซ เจน (Alice Jane) ฮอลลิเดย์ มีพี่สาวหนึ่งคนแต่เสียชีวิตไปเสียตั้งแต่อายุ 6 เดือน 

พ่อของด๊อคเป็นพ่อค้าขายยาที่สร้างฐานะขึ้นมาจนร่ำรวย ภายหลังได้กลายเป็นนักกฎหมาย และเป็นคหบดีคนสำคัญคนหนึ่ง ได้เข้าร่วมรบ ติดยศเป็นนายพันตรีอยู่ในกองทัพฝ่ายใต้ เมื่อฝ่ายใต้ประกาศศึกกับฝ่ายเหนือเป็นสงครามกลางเมือง เมื่อปี ค.ศ. 1861 และปลดประจำการออกมาตั้งแต่ปี ค.ศ.1862 ขณะที่สงครามยังไม่เลิก 

จากนั้นทั้งครอบครัวก็ย้ายบ้านไปอยู่ที่เมือง วาลโด๊สต้า (Valdosta) ซึ่งเป็นเมืองเล็กๆทางใต้ของรัฐจอร์เจีย ที่นี่ผู้พันหิน ขอโทษไม่ใช่ครับ ผู้พันเฮนรี่ พ่อของด๊อค ได้กลายเป็นผู้กว้างขวางคนหนึ่งของเมือง โดยได้รับเลือกตั้งเป็นนายกเทศมนตรี เป็นสมาชิกกิติมศักดิ์ของสมาคมช่างก่อสร้างตึก เลขานุการสมาคมเกษตรกร เลขานุการสมาคมทหารผ่านศึก แถมเป็นผู้อำนวยการเลือกตั้งประจำท้องถิ่นอีกด้วย 

การที่มีพ่อเป็นบุคคลสำคัญระดับแนวหน้า ทำให้ด๊อคได้เข้าเรียนชั้นมัธยมศึกษา ที่สถาบันวาลโด๊สต้า (Valdosta Institute) อันเป็นโรงเรียนชั้นนำของเมืองนี้ 

ด๊อคเป็นเด็กเรียนดี และแตกฉานในภาษาต่างประเทศทั้งกรีก ลาติน และฝรั่งเศส แถมยังชอบเรียนวิชาภาษาอังกฤษชั้นสูง นอกจากนี้ยังมีหัวทางดนตรี สามารถเล่นเปียโนได้อย่างไพเราะด้วย 

พอสงครามเลิกได้ไม่นานในปี ค.ศ. 1865 แม่ของด๊อคก็เสียชีวิตลง หลังจากนั้นไม่ถึงสามเดือน พ่อของด๊อคก็แต่งงานใหม่กับผู้หญิงที่อายุแก่กว่าด๊อคเพียง 9 ปีเท่านั้น 

กลายเป็นปัญหาขึ้นมาในบ้านทันที เนื่องจากด๊อคเป็นคนที่รักแม่มาก และขณะนั้นกำลังอยู่ในวัยรุ่น เลยทำใจยอมรับไม่ได้ เกิดความรู้สึกต่อต้านพ่อของตัวขึ้นมา และเริ่มมีปากเสียงกันบ่อยครั้ง 

ส่วนนอกบ้านนั้น เนื่องจากฝ่ายใต้เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ ถูกฝ่ายเหนือเข้าปกครอง คนใต้ก็เกิดความรู้สึกชิงชังและต่อต้านผู้ปกครองฝ่ายเหนือเช่นกัน 

เมื่อเป็นเช่นนี้ ด๊อคจึงเก็บกดสองต่อ และถือโอกาสระบายความเก็บกดนี้ ด้วยการสร้างวีรกรรมไว้เสียสองครั้ง (เท่าที่มีหลักฐานนะครับ จริงๆแล้วอาจมากกว่านี้ก็ได้) ครั้งแรกด้วยการร่วมมือกับประชาชนผู้เก็บกดคนอื่นๆ วางระเบิดตึกที่ทำการศาล 

อีกครั้งหนึ่งด้วยการคว้าปืนลูกซองยิงเข้าใส่กลุ่มเด็กวัยรุ่นผิวดำ 4 คน ที่ถือวิสาสะ (หลังจากถูกปลดปล่อยให้เป็นอิสระจากทาสแล้ว) เข้ามาเล่นน้ำในสระน้ำที่บ้านโดยไม่ได้ขออนุญาตและไม่ได้รับเชิญ จนเตลิดเปิดเปิงหนีกันไปหมด 

หลังจากจบมัธยม ด๊อคสมัครเข้าเรียนที่วิทยาลัยทันตกรรมแห่งรัฐเพนซิลวาเนีย (Pennsylvania College of Dental Surgery) ในเมืองฟิลาเดลเฟีย 

หลังจากเรียนจบวิชาบังคับทั้งหมด ทำหน้าที่แพทย์ฝึกหัด และทำวิทยานิพนธ์เรื่อง โรคเกี่ยวกับฟัน” (Disease of the Teeth) แล้ว ก็สำเร็จออกมาเป็นทันตแพทย์ ได้รับปริญญา Doctor of Dental Surgery (D.D.S.) เมื่อวันที่1 มีนาคม ค.ศ.1872 

ภาพถ่ายของ ด๊อค 
หรือ จอห์น เฮ็นรี่ ฮอลลิเดย์
เมื่อครั้งสำเร็จการศึกษา

ทันตแพทยศาสตร์บัณฑิต

ในช่วงแห่งความสำเร็จเบื้องต้นของชีวิตนี้ ด๊อคหายเก็บกดชั่วคราว และเดินทางกลับมาบ้านเกิดที่จอร์เจียเพื่อเปิดคลินิคทันตกรรมขึ้นที่เมืองแอ๊ตแลนต้า ร่วมกับหมอฟันอีกคนหนึ่งชื่อ อาร์เธ่อร์ ซี
. ฟอร์ด (Arthur C. Ford) 

สมัยนั้นหมอฟันยังมีจำนวนไม่มากนัก อาชีพนี้จึงรายได้ดีและมีหน้ามีตาทีเดียว 

ว่ากันว่า ด๊อคในขณะนั้นเป็นทั้งทันตแพทย์หนุ่ม และ สุภาพบุรุษชาวใต้” (A Southern Gentleman) ที่รูปหล่อคนหนึ่งทีเดียวครับ มีผู้บรรยายลักษณะของด๊อคไว้ว่า ผมสีทอง ดวงตาสีฟ้า จมูกโด่งได้สัดส่วน ริมฝีปากได้รูปดูเร้าอารมณ์ ไว้หนวดงามทรงเขี้ยวช้างน้ำ (พอถึงตรงนี้หมดอารมณ์เลยนะครับ) รูปร่างนั้นไม่ถึงกับใหญ่โต สูงห้าฟุตสิบนิ้ว สะโอดสะองไม่มีพุง และชอบแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าชั้นดี 


ด๊อค ฮอลลิเดย์
 ในวัยหนุ่มแน่นจัดได้ว่าเป็น
 "สุภาพบุรุษชาวใต้"
ที่หล่อเหลาเอาการคนหนึ่ง

ต่อมาไม่นาน จะเป็นเพราะกรรมเก่าหรืออะไรก็แล้วแต่ อยู่ดีๆด๊อคก็กลับมีสุขภาพแย่ลง และเริ่มไอมากขึ้นเรื่อยๆ 

หมอที่มารักษาด๊อคตรวจอาการดูอย่างละเอียดแล้ว ก็แจ้งกับด๊อคว่า เป็นอาการของวัณโรคในขั้นสุดท้าย นอกจากไม่มีทางหายแล้ว คงจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่เกินอีกสองสามเดือนเท่านั้น แต่ถ้าลองย้ายไปอยู่ในที่ๆมีมีอากาศแห้งกว่าที่นี่ละก็ อาจจะอยู่ได้นานขึ้นอีกนิด 

ด๊อคจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากทำตามคำแนะนำของหมอ ออกเดินทางขึ้นรถไฟไปทางทิศตะวันตก จนสุดทางรถไฟในขณะนั้น ถึงเมืองดาลลัส (Dallas) รัฐเท็กซัส (Texas) เมื่อเดือนตุลาคมปี ค.ศ. 1873 

ที่นี่ ด๊อคพยายามประกอบอาชีพตามที่ได้ร่ำเรียนมาอีกครั้ง แต่ก็เป็นปัญหาไปไม่รอดเสียแล้ว เพราะไม่สามารถกลั้นไอระหว่างที่กำลังใช้สมาธิในการทำฟันได้ (นึกภาพดูนะครับว่ากำลังกรอฟันหรือดึงคีมจะถอนฟันอยู่ดีๆ หมอดันเกิดไอโขลกๆไม่ยอมหยุดขึ้นมาเสียเฉยๆ เผลอๆไม่รู้ไอใส่หน้าคนไข้เข้าไปด้วยหรือเปล่า) 

คนไข้ก็เลยค่อยๆหายไปทีละคนสองคน จนไม่มีใครกล้ามาทำฟันด้วยอีก 

เครื่องมือทำฟัน และ กระเป๋าส่วนตัว
สำหรับใส่เครื่องมือ มีตัวอักษร  JHH
ย่อมาจาก จอห์น เฮ็นรี่ ฮอลลิเดย์

เมื่อเคยรุ่งอยู่ดีๆ กลับทำท่าว่าจะหมดอนาคตเอาดื้อๆอย่างคาดไม่ถึง เข้าทำนอง ทั้งโรคซ้ำกรรมซัดวิบัติเป็น ไม่แลเห็นที่ซึ่งจะพึ่งพา เช่นนี้ อาการเก็บกดที่หายไปนานก็กลับมาใหม่ 

ด๊อคเริ่มหันเข้าหาสุราเป็นเครื่องปลอบใจ และต้องหาทางประกอบอาชีพอื่นเลี้ยงตัวไปวันต่อวันแทน ที่เป็นอย่างนี้ ก็เพราะไม่รู้ตัวว่าจะอยู่ไปได้อีกนานสักแค่ไหน

อาชีพที่เหมาะที่สุดเห็นจะหนีไม่พ้นนักพนัน 

ความที่เป็นคนฉลาดหัวดีมาก่อน ทำให้ด๊อคเรียนรู้ได้เร็ว และกลายเป็นเซียนพนันชนิดหาตัวจับยากในเวลาไม่นานนัก ไม่ว่าจะเป็นฟาโรหรือโป๊กเก้อร์ 

การใช้ชีวิตเป็นนักพนันอยู่ในดินแดนเถื่อนอย่างเท็กซัสสมัยนั้น ไม่ใช่ของง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเล่นชนะพวกคาวบอยประเภทไพ่แพ้คนไม่แพ้ เสียพนันแล้วเกิดเสียดายตังค์ขึ้นมา อยากจะได้คืนด้วยวิธีใช้กำลัง 

มาตรฐานคาวบอยเท็กซัสนั้นสูงกว่า 6 ฟุตทั้งสิ้น ด๊อคซึ่งสูงเพียง 5 ฟุต 10 นิ้ว แถมเป็นวัณโรคอีก ย่อมไม่มีทางจะสู้แรงได้ 

ดังนั้นเพื่อให้แน่ใจว่าตนสามารถต่อกรกับพวกนี้ และถือโอกาสระบายความเก็บกดไปด้วยพร้อมๆกัน ด๊อคจึงต้องอาศัยเครื่องกำจัดความเหลื่อมล้ำของตุลาการโค้ลท์ ขนาด .45 มาเป็นอาวุธคู่กาย ฝึกฝีมือการใช้ปืนหกนัดนี้ให้แม่นยำและว่องไวอยู่เสมอ 

และเพื่อความไม่ประมาท ด๊อคก็ไม่ลืมที่จะพกมีดไว้เป็นแบ๊คอัพอีกเล่มหนึ่งด้วย 

ด๊อคได้โอกาสปลดปล่อยกับพวกคาวบอยที่ดาลลัสนี้ครั้งแรก เมื่อวันที่ 2 มกราคม ค.ศ.1875 หลังปีใหม่เพียงวันเดียว ด้วยการทะเลาะแล้วยิงกับคนเฝ้าซาลูนแห่งหนึ่ง 

หนังสือพิมพ์ ดาลลัส วี้คลี่ย์ เฮราลด์ (Dallas Weekly Herald) ลงข่าวแบบไม่ซีเรียสว่า สองคนนี้ช่วยบรรเทาความน่าเบื่อหน่ายของเสียงพลุฉลองวันปีใหม่ ด้วยการชักปืนยิงเข้าใส่กันหลายนัด แต่ต่างฝ่ายต่างยิงไม่ถูกใคร แล้วก็ถูกจับไปทั้งคู่ในข้อหาก่อความไม่สงบ 

ข่าวนี้กลายเป็นเรื่องตลกขบขันสำหรับชาวบ้านทั่วไป นัยว่าถ้ายิงกันแล้วไม่โดนใครตายเลยซักข้างนึงนั้น คงเป็นประเภทพวกมือใหม่หัดขับที่อยากดังเสียมากกว่า 

หลังจากดวลปืนครั้งแรกไปแล้วดูจะยังไม่ทำให้ได้เครดิตดีนัก ด๊อคก็ฝึกปรือและพัฒนาศิลปทั้งในการพกพาและใช้อาวุธเสียใหม่ให้ก้าวหน้ากว่าใครๆในยุคนั้นขึ้นไปอีก 

อาวุธใหม่ที่ด๊อคนำมาเสริมเขี้ยวเล็บตัวเองครั้งนี้ก็คือ ปืนลูกซองแฝดขนาด 10 ยี่ห้อเมทีออร์ (Meteor) ของเบลเยี่ยม นำมาตัดลำกล้องให้สั้นลงเหลือแค่ 12 นิ้ว ตัดพานท้ายออกให้เหลือแต่คอสำหรับมือจับ เชื่อมห่วงทองเหลืองเล็กๆสำหรับร้อยสายสะพายติดไว้บนสะพานลำกล้อง แล้วห้อยติดตัวไว้ในระดับเอวโดยใช้สายสะพายคล้องไว้กับไหล่ขวา ในลักษณะที่เมื่อสวมเสื้อโค้ตยาวคลุมไว้ ตัวเสื้อด้านหน้าจะกดปากกระบอกปืนชี้ลงพื้น 

แต่เมื่อแง้มเปิดเสื้อด้านขวาออกเมื่อไร ปืนก็ถ่วงน้ำหนักตัวเอง ยกปากกระบอกขึ้นและโผล่ออกมาโดยอัตโนมัติ ในระดับที่พร้อมจะ ทำธุระกับคู่ต่อสู้ได้ทันที 

อาวุธเดิมที่เคยใช้อยู่แต่ก่อนนั้นก็ไม่ได้ทิ้งไป เพียงแค่ย้ายมีดขึ้นไปพกไว้ที่ใต้รักแร้ขวา ส่วนปืนโค้ลท์ซิงเกิ้ลแอ๊คชั่นอาร์มี่ .45 นั้น พกไว้ในซองแบบสะพายไหล่ที่หน้าอกด้านซ้ายเหมือนเดิม 

ปืนลูกซองแฝด เมทิออร์ ขนาด 10 ของด็อค
ถูกเจ้าของนำไปตัดหัวตัดท้าย จนเหลือเท่าที่เห็น
แล้วเชื่อมห่วงทองแดงเล็กๆ ติดไว้ข้างบน
ไว้ใช้แขวนสายสะพายคล้องไหล่

ถือได้ว่าด๊อคเป็นต้นแบบของไอ้ปืนโตกับเขาเหมือนกันนะครับ อย่างไรก็ตามเชื่อว่า ด๊อคไม่ได้ออกความคิดในการเอาปืนลูกซองมาตัดหัวท้ายสะพายไหล่แบบนี้เองทั้งหมด แต่ศึกษาดัดแปลงมาจากวิธีการของมือปืนคนหนึ่งชื่อ พอร์เต้อร์ ร็อคเวลล์ (Porter Rockwell) องค์รักษ์คนสำคัญคนหนึ่งของ บริกแฮม ยังก์ (Brigham Young - ศาสดามอร์มอนผู้บุกเบิกและสถาปนารัฐยูท่าห์) 

พอร์เตอร์ ร็อคเวลล์เป็นผู้มีชื่อเสียงเลื่องลือกันมาก่อน ว่านำปืนลูกซองแฝดขนาด 10 นี้มาตัดใช้เป็นปืนพกประจำตัว จนได้รับการเรียกขานกันทั่วไปว่า ปืนใหญ่ถนน (Street Howitzer) 

ผมเคยได้ดูหนังคาวบอยทางช่องเคเบิ้ลเรื่องหนึ่งชื่อ The Avenging Angles ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับองครักษ์มอร์มอนคนนี้ด้วยครับ มีพระเอกรุ่นเก๋า เจมส์ โคเบอร์น เล่นเป็นตัว พอร์เตอร์ ร็อคเวลล์ นี้แหละ แล้วก็ปู่ ชาร์ลตั้น เฮ้สตั้น เล่นเป็น บริกแฮม ยังก์ 

หนังเรื่องนี้ดูสนุกพอสมควร และต่างจากหนังคาวบอยฮอลลีวู้ดเดิมๆ ตรงที่มีการโชว์ปืนดังๆในยุคนั้นให้ดูอีกหลายรุ่น ไม่ว่าจะเป็น โค้ลท์ พ็อคเก็ต โปลิศ, สมิธ แอนด์ เว้สสัน รุ่นหมายเลข 3 รวมทั้งลูกซองแฝดสไตล์ตัดสั้นกระบอกเก่งที่ว่านี้ด้วย 

หลังจากติดตั้งอาวุธใหม่ได้ไม่นาน ด๊อคก็ได้โอกาสวิวาทกับพวกคาวบอยในวงไพ่ที่ดาลลัสอีกเป็นครั้งที่สอง คู่ปรับหนนี้เป็นเจ้าของปศุสัตว์ใหญ่ มีบารมีและสมัครพรรคพวกมากมาย 

ด๊อคปล่อยกระสุนลูกซองทั้ง 2 นัด ออกจากใต้โต๊ะเข้าใส่คาวบอยผู้กว้างขวางรายนี้หงายเก๋งไป 

หนนี้ไม่มีใครเห็นด๊อคเป็นตัวตลกอีก แถมไม่พอใจที่ด๊อคเล่นงานคนสำคัญของเมืองจนถึงตาย ด๊อคก็เลยต้องระเห็จออกจากดาลลัสเสียก่อนที่จะถูกจับแขวนคอ 

ย่างเข้าปี ค.ศ.1876 ด๊อคไปรับงานเป็นเจ้ามือไพ่ฟาโรอยู่ในซาลูนแห่งหนึ่ง ที่เมืองแจ๊คสโบโร (Jacksboro) ซึ่งเป็นตลาดค้าขายปศุสัตว์แห่งหนึ่งในหลายๆแห่งของเท็กซัส ที่ค่อนข้างคึกคัก ตั้งอยู่ไม่ใกลจากค่ายทหารชื่อ ฟอร์ท ริชาร์ดสัน (Fort Richardson) 

ในช่วงเวลาเพียงสั้นๆ ด๊อคก็ได้วาดลวดลายในการดวลไปอีกสามครั้ง ส่งพวกคาวบอยลงหลุมไปเสียอีกสามราย โดยไม่มีใครสนใจเอาเรื่องเอาราว 

พอถึงหน้าร้อนปีเดียวกัน ด๊อคเกิดย่ามใจในฝีมือไปหน่อย ดันยิงทหารตายไปคนนึง

หนนี้ปรากฏว่าทั้งฝ่ายทหาร และตำรวจ ไม่ว่าจะเป็นระดับชาติ คือ ยู.เอส.มาร์แชล (U.S. Marshal) ระดับรัฐ คือ เท็กซัส เรนเจ้อร์ (Texas Ranger) ไปจนถึงตำรวจท้องที่ รวมทั้งชาวบ้านที่อยากได้เงินรางวัลค่าหัว ต่างแห่กันมาไล่ตามจับตัวด๊อคเป็นการใหญ่ 

ด๊อคจึงต้องเตลิดต่อไปอีก หนนี้ร่วม 800 ไมล์มุ่งสู่เมืองเดนเว่อร์ (Denver) ในรัฐโคโลราโด (Colorado) 

ระหว่างการเดินทางจากเท็กซัสไปสู่โคโลราโด ที่ต้องผ่านเมืองต่างๆหลายเมืองนั้น ด๊อคไม่ละเลยที่จะมีเรื่องกับชาวบ้านเขาไปตลอด กว่าจะถึงเดนเว่อร์ก็หมดไปอีก 3 ศพ 

ที่เดนเว่อร์ ด๊อคพยายามปิดบังไม่ให้ชาวบ้านรู้ว่าตัวเองเป็นใคร ด้วยการเปลี่ยนชื่อเป็น ทอม แม็คคีย์ (Tom Mackey) รับจ้างเป็นเจ้ามือฟาโรในซาลูนชื่อว่า แบ๊บบิทส์ เฮ้าส์ (Babbit’s House) 

แต่แล้ววันหนึ่งมีเรื่องทะเลาะกับนักเลงไพ่คนดังและหนังหนาคนหนึ่งของเดนเว่อร์ชื่อว่า บั๊ด ไรอัน (Bud Ryan) จนเกิดการต่อสู้ขึ้น 

หนนี้ด๊อคไม่ได้ใช้ปืน แต่ใช้มีดแทงฟันบั๊ดเสียหลายแผลฉกรรจ์ เรียกได้ว่าเกือบจะขาดเป็นสองท่อน มีแผลหนึ่งเป็นรูปกากบาทอันเบ้อเริ่มเทิ่มอยู่บนใบหน้า 

บั๊ดโชคดีรอดตายจากบาดแผลในที่สุด และผู้คนถึงได้รู้ว่า มือมีดอันตรายนี้คือ ด๊อค ฮอลลิเดย์ มือปืนนักพนันที่ชอบยิงคู่ต่อสู้ตายคาวงไพ่ไปแล้วหลายคนจนเป็นที่ร่ำลือนั่นเอง 

และเช่นเคยเหมือนคราวก่อนๆ  ด๊อคไม่ยอมอยู่ต่อให้ใครมาจับมาต้อง รีบหลบออกจากเมืองหายตัวไปทันที 

ที่น่าสนใจก็คือ อีกหลายปีให้หลังต่อมา บั๊ด ไรอัน ผู้เกือบเอาชีวิตไม่รอดจากการถูกแทงฟันครั้งนี้ ก็ยังคงวนเวียนใช้ชีวิตอยู่แถวเดนเว่อร์

และชอบที่จะอวดแผลเป็นขนาดใหญ่รูปกากบาทบนหน้าของตัว ให้ใครๆดูอย่างภาคภูมิใจว่า ได้มาจาก ด๊อค ฮอลลิเดย์ 

ด๊อคเผ่นขึ้นเหนือไปจนถึงไวโอมิ่ง (Wyoming) แล้วย้อนลงมา นิว เม็กซิโก (New Mexico) จากนั้นก็กลับเข้าไปที่เท็กซัสอีกครั้ง มาอยู่ที่เมือง ฟอร์ท กริฟฟิน (Fort Griffin) 

ที่นี่ ด๊อคได้พบเพื่อนใหม่สองคน ซึ่งจะเป็นผู้ที่มีบทบาทและอิทธิพลต่อชีวิตในวันข้างหน้าของด๊อคไปอีกหลายปี (คงเริ่มฉุกนึกกันขึ้นมาได้บ้างแล้วนะครับว่า เอ๊ะ ก็ไหนว่าหมอบอกไว้ตั้งแต่เมื่อ 4 ปีที่แล้วนี่ว่าคงอยู่ได้อีกแค่ไม่กี่เดือน ทำไมถึงยังอึดอยู่ได้) 

คนแรกเป็นผู้หญิงครับ มีชื่อว่า แมรี่ แคธรีน โฮโรนี่  (Mary Katherine Horony) หรือที่รู้จักกันทั่วไปส่วนใหญ่ในนามว่า เค้ท เอลเด้อร์ (Kate Elder) หรือหากคุ้นเคยกันมากขึ้นอีกหน่อยก็จะเป็นเค้ทจมูกโต (Big Nose Kate) 

เค้ทเป็นผู้มีพื้นเพดั้งเดิมมาจากเมืองบูดาเป๊สท์ (Budapest) ประเทศฮังการี (Hungary) ลงเรือข้ามมหาสมุทรแอ๊ทแลนติคมาแสวงโชคประกอบอาชีพเต้นกินรำกินที่อเมริกาตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่น จนในที่สุดเดินทางมาไกลถึง ฟอร์ท กริฟฟิน ในเท็กซัสนี้โดยมีอาชีพเป็นเจ้าของสถานบริการ (แม่เล้านั่นแหละครับ) 

ว่ากันว่าเค้ทจมูกโตนี้ จัดอยู่ในประเภทนางสิงห์เหล็กจอมลุยคนหนึ่งเหมือนกัน เป็นที่ร่ำลือในเรื่องความดุดัน เด็ดเดี่ยว อารมณ์ร้าย และไม่กลัวใคร เคยผ่านการแต่งงานมาแล้วหลายหน

สุดท้ายยึดอาชีพเป็นแม่เล้านี้ด้วยใจรัก และไม่ได้ยอมไปหรือคบกับผู้ชายที่ไหนพร่ำเพรื่อถ้าตัวไม่ชอบ (ก็คงจะต้องเชื่อว่าแน่จริงนะครับ ไม่งั้นคงไม่สามารถเอาตัวรอดและมีกิตติศัพท์เลื่องลืออยู่ในดงเถื่อนที่ล้วนแต่แวดล้อมไปด้วยคาวบอยเท็กซัสได้) 

เป็นที่สันนิษฐานว่า เค้ทน่าจะชอบด๊อคเพราะความที่ด๊อคเป็นสุภาพบุรุษชาวใต้ผู้มีการศึกษามาก่อน ทำให้ด๊อคดูดีมีเสน่ห์มากกว่าพวกคาวบอยอยู่หลายขุม หรือไม่งั้นก็อาจจะเป็นเพราะเป็นพวกชอบซาดิสม์เหมือนกัน 

เค้ท เอลเด้อร์
 หรือ เค้ทจมูกโต
 แฟนของด๊อค

ส่วนอีกคนนั้นก็ไม่ใช่ใครที่ไหน ได้แก่ วายแอ็ท เอิ๊ร์ป เจ้าเก่านี่เอง 

วายแอ็ท ขณะนั้นเป็นมือปราบคนหนึ่งของเมือง ด๊อดจ์ ซิตี้ (Dodge City) ในแคนซัส (Kansas) กำลังเดินทางแกะรอยเพื่อจะจับตัวโจรปล้นรถไฟคนหนึ่งชื่อว่า เด๊ฟ รุดดาบอห์ (Dave Ruddabough) 

วายแอ็ทมาแวะหาข่าวที่ ฟอร์ท กริฟฟิน เจ้าของซาลูนจึงแนะนำให้รู้จักกับด๊อค ซึ่งมารับจ้างเป็นเจ้ามือไพ่อยู่ทีนี่ บอกว่าด๊อคเป็นผู้ที่สามารถบอกได้ว่า จะไปตามจับโจรปล้นรถไฟรายนี้ได้ที่ไหน 

กล่าวกันว่า ด๊อคกับวายแอ็ทรู้สึกถูกชะตากันตั้งแต่แรกรู้จัก และด๊อคก็ช่วยเหลือหาเบาะแสให้วายแอ็ทตามจับตัว เด๊ฟ รุดดาบอห์ได้จนสำเร็จ 

หลังจากช่วยวายแอ็ททำธุระสำเร็จไปแล้ว ด๊อคก็ตั้งหน้าตั้งตาประกอบวีรกรรมคลายเครียดในแบบฉบับของตนเองต่อไป 

ที่ ฟอร์ท กริฟฟิน นี้ มีเซียนโป๊กเก้อร์อยู่คนหนึ่งนามว่า เอ๊ด เบลี่ (Ed Bailey) เป็นพวกนักเลงโตไม่ชอบให้ใครขัดคอ ขาไพ่คนอื่นๆค่อนข้างจะเกรงใจ และยอมลงให้เวลาเล่นด้วยกัน 

เอ๊ดมาร่วมวงเล่นโป๊กเก้อร์กับด๊อค และตั้งหน้าตั้งตาเปิดไพ่ที่คนอื่นเปลี่ยนทิ้งไปแล้วขึ้นดู ทั้งๆที่รู้ว่าเป็นการผิดกฎกติกามารยาทอย่างยิ่ง แต่จะทำเสียอย่างใครจะกล้ามาว่าอะไร 

ด๊อคชักไม่ชอบใจ เตือนเอ๊ดไปสองหนว่าอย่าทำ เพราะตามกติกาละก็ จะต้องถูกยึดตังค์ทั้งหมด 

เอ๊ดไม่สนใจคำพูดของด๊อค ยังคงคว้าไพ่เปิดดูต่อไปเหมือนเดิม บรรยากาศเริ่มตึงเครียด ผู้คนรอบๆข้างต่างค่อยๆทยอยกันเข้ามาล้อมวงมุงดู 

ด๊อคไม่พูดว่าอะไร เอื้อมแขนออกไปหาเอ๊ด ทำท่าว่าจะรวบเอากองสตังค์ของเอ๊ดมาไว้กับตัว แต่ซ่อนมือไว้ไม่ให้โผล่ออกมาจากปลายแขนเสื้อ 

เอ๊ดเห็นด๊อคทำท่าจะยึดเงินของตัวจริงๆ ก็คว้าปืนขึ้นมาจากใต้โต๊ะทันที ถึงตอนนี้ ผู้คนรอบข้างถึงได้เห็นมือของด๊อค พร้อมด้วยมีดเล่มหนึ่ง โผล่วับออกมาจากปลายแขนเสื้อเหมือนเล่นกล 

และไม่ทันที่เอ๊ดจะได้เหนี่ยวไกปืน มีดในมือของด๊อคก็เสียบเข้าที่ลิ้นปี่ของเอ๊ดเสียก่อน ฟุบจมกองเลือดอยู่กลางโต๊ะนั่นเอง 

ด๊อคยอมให้นายอำเภอจับแต่โดยดี ไม่หลบหนีไปไหนเหมือนครั้งก่อนๆ เพราะค่อนข้างจะมั่นใจว่าเป็นการต่อสู้ป้องกันตนเองอย่างสมเหตุผล มีผู้คนรู้เห็นเป็นพยานมากมาย 

แต่มารู้ตัวว่าคิดผิด เมื่อพบว่าบรรดาลูกสมุนของเอ๊ด และพวกอาสาชาวบ้านอีกกลุ่มใหญ่ที่ไม่ชอบหน้าด๊อค พากันมาชุมนุมก่อม็อบที่หน้าห้องขัง เรียกร้องให้นายอำเภอส่งตัวด๊อคมาแขวนคอเสียดีๆโดยไม่ต้องรอขึ้นศาล 

เรื่องก็เลยถึงเค้ทจมูกโต ต้องยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือเป็นการด่วน

เค้ทรีบเตรียมรถม้าไว้หนึ่งคัน บรรทุกข้าวของและเสบียงไว้พร้อมตั้งแต่ตอนบ่าย พอพลบค่ำก็จัดการจุดไฟเผาโรงนาเสียแห่งหนึ่ง 

ระหว่างที่ไฟเริ่มลามไปทั่วและทำท่าจะไหม้ไปทั้งเมือง จนผู้คนต้องเลิกม็อบเพื่อมาช่วยกันดับไฟก่อนนั้น เค้ทก็คว้าปืนหกนัดสองกระบอกรี่ไปที่ห้องขัง ปลดอาวุธยามคนหนึ่งที่ยังเหลือเฝ้าด๊อคอยู่ สั่งให้ไขกุญแจปล่อยด๊อคออกมา 

พอช่วยกันจับยามมัดเสร็จแล้ว ด๊อคกับเค้ทก็ขึ้นรถม้าที่เตรียมไว้ขับหายออกไปจาก ฟอร์ท กริฟฟิน ด้วยกันในคืนนั้น มุ่งหน้าสู่ ด๊อดจ์ ซิตี้ 

ที่ ด๊อดจ์ ซิตี้ ด๊อคและเค้ทเข้าพักที่บ้านเช่าแห่งหนึ่ง ใช้ชื่อว่า นายแพทย์และนาง เจ. เอ็ช. ฮอลลิเดย์ 

ความที่ด๊อครู้ตัวว่าเป็นหนี้ชีวิตเค้ท จึงพยายามทำตัวเป็นแฟมิลี่แมนเต็มที่ ลด ละ เลิก อบายมุขทุกประเภท และหันมาประกอบอาชีพหมอฟันอีกครั้งหนึ่ง เค้ทก็พยายามเปลี่ยนตัวเองมาเป็นศรีภรรยาแม่บ้านแม่เรือน

ปรากฏว่าไปได้ไม่นานซักเท่าไร เค้ทก็เบื่อชีวิตแบบเรียบง่ายที่ปราศจากความตื่นเต้น ความที่ต่างฝ่ายต่างก็จัดอยู่ในจำพวกสติแตกเจ้าอารมณ์ จึงเริ่มมีปากเสียงจนนำไปสู่การทะเลาะกัน 

สุดท้ายเค้ทก็บอกกับด๊อคว่า ขอแยกตัวกลับไปใช้ชีวิตสนุกๆแบบเดิมในโรงเต้นรำและซาลูนดีกว่า ไม่อยากเป็นแม่บ้านแม่เรือนให้กับคนเป็นวัณโรคไอโขลกๆ แถมยังขี้เหล้านี้แล้วละ 

หลังจากได้ปลดปล่อยด้วยการตบตีกันอย่างดุเดือดจนต่างสะใจกันดีแล้ว ทั้งสองก็แยกทางกันเป็นครั้งแรก (เพราะเดี๋ยวก็กลับมาอยู่ด้วยกันอีก แล้วก็แยกกันอีก ไปเรื่อยๆอย่างนี้แหละครับ โปรดคอยติดตามดูต่อไป) โดยเค้ทไปจากด๊อดจ์ ซิตี้ ส่วนด๊อคอยู่ต่อแต่เลิกเป็นหมอฟัน กลับไปหาการพนันและเหล้าเหมือนเดิม 

ข่าวตัดจากหนังสือพิมพ์ ด๊อดจ์ ซิตี้ ไทมส์
ฉบับวันที่ 8 มิถุนายน ค.ศ. 1878
ประกาศโฆษณาร้านทำฟันของด๊อค
ตอนท้ายมีบอกว่า 

หากบริการไม่เป็นที่พอใจ จะคืนเงืนให้

และที่ด๊อดจ์ ซิตี้นี้เอง ด๊อคได้สร้างวีรกรรมสำคัญ ที่ดูจะเป็นประโยชน์มากที่สุดตั้งแต่ตั้งหน้าตั้งตาสร้างมา นั่นคือช่วยเหลือ วายแอ็ท เอิ๊ร์ป มือปราบคนสำคัญของเมือง ให้รอดพ้นจากการถูกรุมล้อมกรอบโดยพวกอันธพาลกลุ่มใหญ่ นำขบวนโดย เอ๊ด มอริสัน (Ed Morrison) 

รายละเอียดผมได้เคยบรรยายไว้แล้วในตอน วายแอ็ท เอิ๊ร์ป มือปืนผู้คงกระพัน ท่านที่ติดตามไปแล้ว คงจะจำกันได้นะครับว่า วายแอ็ทถูกพวกนี้ล้อมกรอบอยู่ในลองแบร๊นช์ซาลูน แต่แล้วด๊อคแอบย่องมาข้างหลังเอ๊ดตัวหัวโจก อาศัยจังหวะที่ทุกคนกำลังจ้องไปที่วายแอ็ท เอาปืนจ่อขมับเอ๊ดไว้ จนเอ๊ดต้องยอมสั่งลูกน้องทั้งหมดให้ทิ้งปืนยอมแพ้ 

งานนี้ทำให้วายแอ็ทไม่เคยลืมบุญคุณของด๊อค และทั้งสองกลายเป็นมิตรแท้ซึ่งกันและกันไปอีกนาน 

ถึงปี ค.ศ. 1879 วายแอ็ท เอิ๊ร์ป กับพี่น้องๆ ได้แก่เจมส์กับเวอร์จิลพี่ชาย และมอร์แกนน้องชาย พร้อมด้วยครอบครัว ตัดสินใจย้ายไปทำมาหากินที่เมืองทูมบ์สโตนในอริโซน่า 

ด๊อคไม่ได้ตามไปด้วยในทันที แต่แยกไปผจญภัยเดี่ยวต่อที่เมืองทรินิแดด (Trinidad) ในโคโลราโด 

เหมือนเช่นเคย ด๊อคไปมีเรื่องกับนักเลงท้องถิ่นคนหนึ่งชื่อ คิด โคลตั้น (Kid Colton) ด๊อครับคำท้าดวลแล้วก็ลั่นกระสุนใส่ คิด โคลตั้นสองนัด ลงไปนอนจมฝุ่นอีกราย 

ด๊อคย้ายไปที่เมือง ลาส เวกัส (Las Vegas) ใน นิว เม็กซิโก (คนละเมืองกับ ลาส เวกัส ในเนวาดา ที่ผู้คนชอบไปดูโชว์กับเล่นคาสิโนทุกวันนี้นะครับ เผอิญชื่อเหมือนกัน) พยายามจะประกอบอาชีพหมอฟันอีก แน่นอนครับว่าไม่สำเร็จ 

ด๊อค ฮอลลิเดย์ เมื่่อปี ค.ศ. 1879 อายุ 28 ปี
เข้าใจว่าด๊อคถ่ายภาพนี้ส่งกลับไปให้ญาติทางบ้าน

ที่จอร์เจีย มีลายเซ็นของด๊อคปรากฏอยู่ข้างล่าง

ด๊อคเริ่มทำท่าว่าจะไปรุ่ง เมื่อลงทุนซื้อกิจการซาลูนแห่งหนึ่งในเมืองนี้มาเป็นของตน ได้ลูกค้าอุหนุนคับคั่ง แต่อยู่ได้เพียงสามอทิตย์ ไม่รู้ว่าบุญมีแต่กรรมบังอีกหรือเปล่า ก็เกิดขัดแย้งกับนักเลงปืนคนหนึ่งชื่อ ไม้ค์ กอร์ดอน (Mike Gordon) เข้าอีก 

เพื่อไม่ต้องต่อปากต่อคำกันให้ยืดเยื้อ ด๊อคเชื้อเชิญไม้ค์อย่างสุภาพ ให้ชักปืนออกมายิงได้ทุกเวลาที่ต้องการ จากนั้นก็ยิงใส่ไม้ค์เข้าที่พุงกะทิเสีย 3 นัด 

เผอิญไม้ค์ดันเป็นคนที่ค่อนข้างป๊อปปูล่าร์ของเมือง ชาวบ้านก็เลยช่วยกันตกแต่งต้นไม้สำหรับแขวนคอขึ้นอย่างเร่งรีบ กะเอาตัวด๊อคมาเป็นเครื่องประดับ

ด๊อคคงไม่มีอารมณ์สนุกด้วยเท่าไรนัก ก็เลยหลบหายตัวไปเสียก่อนอีก 

คราวนี้มุ่งสู่ทูมบ์สโตน (Tombstone) ที่ซึ่ง วายแอ็ท เอิ๊ร์ป เพื่อนผู้รู้ใจล่วงหน้าไปปักหลักอยู่ก่อนแล้ว 

รับฟังเรื่องราวกันมาถึงตรงนี้แล้ว คงจะเห็นได้นะครับว่า หมอฟันขี้โรคและขี้เหล้าดูไม่มีอนาคตคนนี้ไม่ธรรมดา นอกจากจะอยู่สู้ทั้งโลกและโรคมาได้ ไม่ยอมตายตามคำวิเคราะห์ของหมอแล้ว ยังเล่นงานคนปกติครบสามสิบสองที่แข็งแรงหรือฟิตกว่าตัวหลายเท่าไปหลายศพอีกด้วย

ฟังดูเหมือนเรื่องโกหกอยู่ไม่น้อย 

มีนักประวัติศาสตร์รุ่นใหม่หลายคน และพวกลูกหลานที่สืบตระกูลเดียวกันกับด๊อคในปัจจุบัน พยายามทำการชำระประวัติศาสตร์เสียใหม่ และสรุปว่า เรื่องร่ำลือเกี่ยวกับความโหดร้ายฆ่าคนตายได้อย่างเลือดเย็นของด๊อคนั้น เป็นเพียงอุบายโฆษณาชวนเชื่อ ที่ด๊อคกุขึ้นมาหลอกผู้คนให้กลัว เพื่อตัวจะได้สามารถรักษาตัวอย่างสงบอยู่ได้ตามคำแนะนำของหมอ ท่ามกลางดินแดนตะวันตก ซึ่งขณะนั้นยังเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อนอยู่เท่านั้น 

จริงๆแล้วไม่ได้เป็นคนดุร้ายเจ้าอารมณ์อย่างที่ได้ยินกัน 

ผมเองก็ยังไม่มีโอกาสได้ร่วมศึกษาชำระประวัติศาสตร์กับเขาครับ เลยไม่ทราบว่า จะน่าเชื่อถือ หรือสามารถนำมาหักล้างเรื่องราวเก่าๆอย่างมีน้ำหนักได้สักแค่ไหน 

อย่างไรก็ตาม ผมก็ยังเห็นว่า การจะอยู่รอดปลอดภัยในสมัยก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบ้านป่าเมืองเถื่อน ที่ไม่มีระบบอะไรจะมารับรองสวัสดิภาพและความปลอดภัยของประชาชนนั้น จะอาศัยแต่เพียงฝ่ายประชาสัมพันธ์มาโฆษณาสร้างภาพอย่างที่ใช้กันได้ผลมากมายในสมัยนี้ไม่ได้ 

ยังไงๆก็น่าจะเป็นลักษณะของ Survival of the fittest หรือผู้แข็งแรงที่สุดเท่านั้นถึงจะอยู่รอดมากกว่า

นั่นคือด๊อคจะต้องเก่งจริงในเรื่องของอาวุธและไหวพริบที่จะเอาชนะคู่ต่อสู้ได้ 

ส่วนการเป็นคนดุร้ายเจ้าอารมณ์นั้น ถ้าย้อนดูประวัติตั้งแต่ต้น ก็มีที่มาที่ไปเป็นเหตุเป็นผลพอสมควรอยู่ 

มีบางตำราวิเคราะห์ไว้น่าสนใจว่า ตัวจริงของด๊อคน่าจะเป็นลักษณะแบบที่ว่าเวลาดีก็ดีสุดๆ แต่เวลาร้ายก็ร้ายสุดๆแบบไม่ยั้งคิดเลยเหมือนกัน 

และตอนที่ร้ายสุดๆนี้ ก็น่าจะเป็นเวลาที่ถูกเขม่น ท้าทาย และดูถูกเหยียดหยามจากพวกคาวบอยและสารพัดกุ๊ยต่างๆ ที่ตัวไม่สามารถจะหลีกเลี่ยงได้พ้นนั่นเอง 

ด๊อคเกิดมาในตระกูลที่ค่อนข้างจะเป็นชนชั้นสูง ในดินแดนที่มีอารยธรรมมาก่อน (คือรัฐจอร์เจียซึ่งเป็นรัฐสำคัญทั้งทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมของภาคใต้ในยุคนั้น) ได้รับการศึกษาอบรมอย่างดี ทั้งศิลปวิทยาการรวมทั้งค่านิยมท้องถิ่น คือต้องเป็นสุภาพบุรุษผู้รักษาเกียรติของตนเอง และศักดิ์ศรีของความเป็นชาวใต้ 

ถ้าไม่โชคร้ายป่วยเป็นวัณโรค ถูกหมอวิเคราะห์ว่าจะตายแล้ว ก็คงจะยังใช้ชีวิตแบบพวกอีลิทอยู่ที่บ้านเกิดได้ โดยไม่ต้องร่อนเร่พเนจรแบบนี้ 

การที่ด๊อคยอมรับนับถือ วายแอ็ท เอิ๊ร์ป น่าจะเป็นเพราะว่า วายแอ็ทเป็นคนเดียวที่นอกจากไม่เคยแสดงอาการดูถูกเหยียดหยามด๊อคแล้ว ยังเข้าใจในจิตวิทยาและพฤติกรรมของด๊อคได้ค่อนข้างลึกซึ้งกว่าคนอื่นๆอีกด้วย 

พี่น้องเอิ๊ร์ปคนอื่นๆ หรือแม้แต่ แบ๊ท ม้าสเตอร์สัน ที่จริงแล้วไม่ค่อยจะชอบหน้าด๊อคนัก มองว่าด๊อคเป็นตัวสร้างปัญหา ชอบนำเรื่องเดือดร้อนมาให้ (ซึ่งก็จริงนะครับ) เพียงแต่ยอมยกไว้ให้เสียคนนึง เนื่องจากเห็นแก่วายแอ็ทเท่านั้น 

ด๊อคมาถึงทูมบ์สโตน โดยมีเค้ทจมูกโตกลับมาใช้ชีวิตร่วมด้วยอีกครั้ง เมื่อประมาณเดือนกันยายนปี ค.ศ. 1880 

ช่วงนี้ความรักดูท่าจะสดชื่นมาก ถึงขนาดที่เค้ทมอบของขวัญให้กับด๊อค 1 ชิ้น เป็นปืนพกขนาดจิ๋ว ยี่ห้อเรมิงตัน แบบเดอริงเจ้อร์แฝดตั้ง รุ่นล่าสุด ใช้กระสุนขนาด .41 ชนวนริม ลำกล้องชุบเงิน ลำตัวปืนและโครงด้ามชุบทอง ด้ามจับเป็นมุก แกะลายและสลักตัวหนังสือที่แถบทองท้ายโครงด้ามปืนไว้ด้วย

มีใจความว่าว่า ให้ด๊อค จากเค้ท (To Doc from Kate) 

ปืนพกแบบเดอริงเจ้อร์ ขนาด .41 ชนวนริม
ลำกล้องชุบเงิน ลำตัวและโครงด้ามชุบทอง 

ประกับด้ามเป็นมุก หลังด้ามมีแกะตัวหนังสือ
เขียนว่า "ให้ด๊อค จากเค้ท"

ในช่วงเวลาที่ด๊อคมาถึง วายแอ็ทและพี่น้องกำลังมีปัญหาขัดแย้งกับแก๊งคาวบอยตระกูลแคลนตั้น (Clanton) ซึ่งพวกเอิ๊ร์ปถือว่าเป็นผู้ร้าย ในขณะที่พวกเอิ๊ร์ปเองพยายามวางตัวให้ชาวบ้านเห็นว่า ตนเป็นฝ่ายผู้รักษากฎหมาย 

ด๊อคมาถึงทูมบ์สโตนได้ไม่นาน ไม่ทันจะได้ช่วยวายแอ็ททำอะไร ก็ก่อเรื่องทะเลาะวิวาทขึ้นเสียก่อน กับนักพนันคนหนึ่งชื่อ จอห์น ไทเล่อร์ (John Tyler) ในโอเรียนทัลซาลูน (Oriental Saloon) 

ทั้งสองไม่ทันได้ตีหรือยิงกัน เพราะมีคนมาช่วยจับแยกและปลดอาวุธทั้งคู่เสียก่อน 

ไทเล่อร์ออกไปจากซาลูนหลังจากถูกปลดอาวุธแล้ว แต่ด๊อคยังคงอยู่ต่อ เจ้าของคนหนึ่งของซาลูนชื่อ มิ้ลท์ จ๊อยซ์ (Milt Joyce) เข้ามาไล่ด๊อคออกไป อ้างว่าด๊อคเข้ามาก่อความไม่สงบไล่แขก 

ด๊อคไม่ยอมไป เกิดเถียงกันขึ้น ผลสุดท้ายมิ้ลท์ใช้วิธีเรียกลูกน้องมารุมหิ้วตัวด๊อคจับโยนออกไปนอกร้าน 

ด๊อคลุกขึ้นได้ ก็เดินกลับเข้ามาในร้าน บอกกับมิ้ลท์ว่าจะมาเอาปืนที่ถูกยึดไว้เมื่อกี้คืน แต่มิ้ลท์ไม่ยอมคืนให้

ด๊อคไม่ว่าอะไร เดินออกนอกร้านไป แต่แล้วประเดี๋ยวเดียวก็กลับเข้ามาอีกครั้ง ถือปืนมาด้วยกระบอกหนึ่ง เดินรี่เข้าไปหามิ้ลท์ซึ่งกำลังเดินออกมาจากหลังเคาน์เต้อร์บาร์ 

มิ้ลท์เห็นด๊อคถือปืนเดินมาหาตัว ก็ชักปืนออกมาบ้าง แล้วกระโจนเข้าใส่ด๊อค กระหน่ำตีหัวด๊อคด้วยปืนในมือ ส่วนด๊อคยิงสวนเข้าใส่มิ้ลท์ในเวลาเดียวกัน นายอำเภอไว้ท์กับผู้ช่วยต้องมาจับทั้งคู่แยกออกและปลดอาวุธ 

ผลปรากฏว่า ด๊อคหัวแตกจากการถูกตี ส่วนมิ้ลท์ถูกลูกปืนของด๊อคเข้าที่มือบาดเจ็บ 

ด๊อคถูกแจ้งข้อหาทำร้ายร่างกายผู้อื่นและถูกศาลสั่งปรับ 20 เหรียญ บวกด้วยค่าใช่จ่ายศาลอีก 11.25 เหรียญ 

จากเหตุการณ์นี้ ประกอบกับชื่อเสียงอันเป็นที่เลื่องลือของด๊อคมาแต่เดิม ทำให้ด๊อคกลายเป็นจุดอ่อน ที่พวกแคลนตั้นถือโอกาสใช้โจมตีพวกเอิ๊ร์ปได้ถนัดขึ้นว่า พวกเอิ๊ร์ปนั้นเอาเข้าจริงก็ไม่ได้ดีเด่หรือสะอาดบริสุทธิ์มาจากไหน ที่แท้ก็คบค้านักเลงการพนัน ที่เป็นฆาตกรมีคดีติดตัวเป็นพวกเหมือนกัน 

ข้างด๊อคนั้นก็ไม่ชอบหน้าพวกแคลนตั้นมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว เพราะเห็นว่าเป็นศัตรูกับวายแอ็ท พอตัวเองมาถูกใช้เป็นเครื่องมือ เพื่อจะดิสเครดิตวายแอ็ทแบบนี้ เลยยิ่งไม่ชอบใจมากขึ้น เจอหน้ากับพวกแคลนตั้นและลูกสมุนที่ไหน เป็นต้องมีการประคารม และหาเรื่องท้าดวลกันอยู่เสมอ 

แต่ที่ยังไม่ได้ยิงกัน ก็เพราะวายแอ็ทกับพี่น้อง โดยเฉพาะเวอร์จิลพี่ชายของวายแอ็ทซึ่งมีตำแหน่งเป็นหัวหน้าตำรวจ คอยจับแยกออกจากกันเสียก่อนได้ทัน 

ไปๆมาๆ ด๊อคเลยทำท่าว่าจะกลายเป็นศัตรูหมายเลขหนึ่งของพวกแคลนตั้นแทนวายแอ็ทไปในที่สุด 

ภาพปกของนิตยสาร โอลด์เวสท์ เจอร์นัล
ฉบับประจำฤดูร้อน ปี ค.ศ. 2000
เป็นรูป วาล คิลเม่อร์ ในบทบาท 

ด๊อค ฮอลลิเดย์
จากภาพยนตร์เรื่อง ทูมบ์สโตน

มาถึงวันที่ 15 มีนาคม ค.ศ.1881 รถม้าโดยสารคันหนึ่งถูกโจรใส่หน้ากาก (หมายถึงเอาผ้าพันคอปิดหน้าไว้ครึ่งหนึ่งอย่างที่เราเห็นกันในหนังนั่นแหละครับ) จำนวน 4 คนเข้าปล้นทรัพย์ และยิงคนขับรถม้ากับผู้โดยสารอีก 1 คนตาย ก่อนจะหนีไป 

พวกแคลนตั้นถือโอกาสใช้เรื่องนี้เล่นงานด๊อค โดยให้เชอร์ริฟบีแฮน (Sheriff Behan) พวกของตัว ออกอุบายเลี้ยงเหล้าปลอบใจเค้ทจมูกโต ซึ่งเพิ่งเสร็จจากการทะเลาะตบตีกันกับด๊อค ยุยงส่งเสริมเค้ทซึ่งกำลังเมาให้แก้แค้น ด้วยการไปโพนธนาบอกชาวบ้านว่า ด๊อคเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการปล้นฆ่า 

เค้ทยอมทำตาม จนในที่สุดด๊อคถูกจับ วายแอ็ทต้องใช้เงิน 5 พันดอลล่าร์ ประกันตัวด๊อคออกมา 

คดีนี้ในที่สุดศาลสั่งปล่อยด๊อค เนื่องจากเค้ทพอหายเมาแล้ว เกิดเปลี่ยนใจไม่ยอมให้การปรักปรำด๊อคต่อศาล จากนั้นเค้ทก็แยกทางกับด๊อคอีกครั้งและออกไปจากทูมบ์สโตน (ใช่ครับ วันหลังก็จะหวนกลับมาอีก) 

คืนวันที่ 25 ตุลาคม ค.ศ.1881 ด๊อคมีเรื่องถึงขั้นแตกหักกับ ไอ๊ค์ (Ike) ผู้นำของแก๊งแคลนตั้น ซึ่งกำลังเมาสุราอยู่ในซาลูน และร้องด่าท้าทายพวกเอิ๊ร์ปกับด๊อคให้ออกมายิงกัน 

ด๊อคฟิวส์ขาด กะลุยกับไอ๊ค์เต็มที่หลังจากอั้นมาหลายทีมากแล้ว ถ้าเวอร์จิลกับมอร์แกนไม่จับแยกไว้ก่อนคงเป็นได้ยิงกันในคืนนั้นแน่ 

ฝ่ายไอ๊ค์นั้นไม่ยอมลดละ ออกจากซาลูนไปแล้วเจอวายแอ็ทเดินสวนมา ก็ยังรี่เข้าไปตะคอกขู่อีกว่า ไปบอกไอ้เพื่อนปอดเน่าตัวแสบด้วย ให้เตรียมลงหลุมได้ในวันพรุ่งนี้ รวมทั้งตัวแกและพี่น้องด้วย 

วายแอ็ทเห็นสารรูปของไอ๊ค์ในขณะนั้นแล้วรูสึกขำแกมสมเพชมากกว่าจะฉุน แซวไอ๊ค์กลับไปว่า ท่าทางด๊อคคงจะเป็นฝ่ายเอาแกลงหลุมเสียมากกว่าละมั้ง

วันรุ่งขึ้น ไอ๊ค์พาพรรคพวกอีก 4 คน เข้าเมืองมา เพื่อจะเอาเรื่องกับพวกเอื๊ร์ปและด๊อคตามที่อาฆาตไว้ 

ก่อนหน้านั้นไม่กี่วันเค้ทหวนกลับมาหาด๊อคอีกครั้ง ทั้งคู่ย้ายไปพักอยู่ที่ห้องพักชั้นบนของร้านถ่ายรูป ฟลาย'ส์แกลเลอรี่ (Fly’s Gallery) ในซอยข้างถนนฟรีม้องท์ (Fremont Street) ไม่ไกลจากด้านหลังของคอกสัตว์ โอเค คระราล (OK Corral) เท่าไรนัก 

ไอ๊ค์กับพรรคพวกไปชุมนุมกันอยู่ในซอยที่หน้าร้านฟลาย'ส์แกลเลอรี่นี้ กะรอเล่นงานด๊อคเป็นคนแรกเสียก่อนตรงหน้าบ้านนี่ละ ในฐานะที่เป็นตัวอันตรายและศัตรูหมายเลขหนึ่ง 

ภาพเขียนสี ฝีมือของ ลีอา เอฟ. แม็คคาร์ที
จินตนาการภาพด๊อคกำลังแอ๊คท่าให้ถ่ายรูป
ที่ร้าน ฟลาย'ส์แกลเลอรี่

แต่ปรากฏว่า ไอ๊ค์กับพรรคพวกคาดการผิด เพราะแทนที่จะได้เล่นงานด๊อคง่ายๆ กลับกลายเป็นว่าอยู่ดีๆ พี่น้องเอิ๊ร์ปทั้งสามคนก็โผล่ตัวขึ้นที่ปากซอย และเดินรี่เข้ามาหาพวกตัว ทุกคนสีหน้าท่าทางเคร่งเครียดเต็มที่ 

มีด๊อคเดินถือปืนลูกซองแฝดลำกล้องสั้น (ปืนกระบอกนี้หลักฐานในยุคแรกๆก็บอกว่าคือแฝดเมทีออร์กระบอกเก่งประจำตัว แต่หลักฐานรุ่นหลังๆบอกว่าไม่ใช่ เป็นปืนของเวอร์จิลให้ยืมมาต่างหาก ปืนของตัวสงสัยจะทิ้งไว้ที่ห้องพัก) ตามมาด้วย 

แต่หน้าตาไม่ยักกะเคร่งเครียดเหมือนพวกเอิ๊ร์ป เดินทอดน่องท่าทางสบาย แถมผิวปากอย่างอารมณ์ดีซะอีก 

หุ่นจำลอง ด๊อค ฮอลลิเดย์ ที่ โอเค คระราล 
บันทึกภาพไว้เมื่อปี ค.ศ. 1980

เหตุการณ์หลังจากนี้ ท่านผู้อ่านที่ติดตามคาวบอยกับปืนคู่ใจตั้งแต่ต้นคงทราบแล้วนะครับว่าเป็นอย่างไรต่อไป 

ภายในไม่เกิน 30 วินาที มีเสียงปืนดังขึ้นทั้งหมด 34 นัด ฝ่ายแคลนตั้นยิง 17 นัด ถูกเพียง 3 นัด แถมไม่เข้าที่สำคัญ ฝ่ายเอิ๊ร์ปและด๊อคยิง 17 เหมือนกัน ถูกทั้งหมด 13 นัด โดน บิลลี่ แคลนตั้น น้องชายชายของไอ๊ค์ แล้วก็พี่น้อง ทอม กับ แฟร้งค์ แม็คลอรี่ สมุนฝ่ายแคลนตั้น ตายไป 3 คน 

ไอ๊ค์ตัวหัวโจกเองไม่ได้ยิงซักนัด วิ่งมาหาวายแอ็ทขอสงบศึก พอวายแอ็ทไม่ยอม ก็วิ่งหนีเข้าไปในฟลายส์สตูดิโอ ออกประตูหลังหายไป 

ฝ่ายสมุนแคลนตั้น 3 คนที่ตายนั้น ทุกคนมีลูกปืนของด๊อคฝังอยู่ด้วยอย่างน้อยไม่ต่ำกว่าคนละลูก ตัวด๊อคเองนั้นโดนเข้าแค่นัดหนึ่งถากไปที่สีข้าง ไม่ได้ซีเรียสอะไรนัก 

โอเค คระราล กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวหลัก
ของเมืองทูมบ์สโตน ที่คอคาวบอยทั้งหลาย
ต่างพลาดไม่ได้ ทั้งๆที่จริงๆแล้ว
ไม่ได้ยิงกันตรงนี้

พวกแคลนตั้นหวนกลับมาเล่นงานพวกพี่น้องเอิ๊ร์ปในวันหลัง แอบลอบยิงเวอร์จิลจนพิการ แล้วยังยิงมอร์แกนข้างหลังจนถึงตาย 

วายแอ็ทตัดสินใจรวบรวมพรรคพวกที่ไว้วางใจได้ ออกไล่ล่าตามเก็บพวกแคลนตั้นและลูกสมุนที่ตัวเชื่อว่า มีส่วนเกี่ยวข้องเสียจนเกือบเกลี้ยง 

แน่นอนครับว่า ด๊อคเป็นกำลังสำคัญที่สุดที่ทำให้งานนี้ประสบความสำเร็จ  แต่เมื่อเสร็จงานแล้ว วายแอ็ทและด๊อคก็อยู่ทูมบ์สโตนต่อไปไม่ได้ เนื่องจากถูกเชอร์ริฟบีแฮนผู้เป็นพวกแคลนตั้นออกหมายจับ ทั้งคู่ต้องหลบไปตั้งหลักอยู่ที่เมืองกันนิสัน (Gunnison) ในโคโลราโด 

จากทีนี่ ด๊อคก็แยกกับวายแอ็ท เดินทางไปยังเดนเว่อร์ แล้วก็ถูกจับในเดือนพฤษภาคมปี ค.ศ. 1882 ตามหนังสือขอตัวผู้ร้ายข้ามแดนที่เชอร์ริฟบีแฮนจัดการส่งไล่หลังมา 

เชื่อกันว่า ตำรวจคนที่จับด๊อคนั้นเป็นพี่น้องกับ จอห์น ไทเล่อร์ คนที่ด๊อคเคยมีเรื่องด้วยเมี่อเกือบสองปีก่อนที่ทูมบ์สโตนนั่นเอง 

เรื่องด๊อคถูกจับครั้งนี้กลายเป็นข่าวใหญ่ ถึงขนาดผู้ว่าการรัฐโคโลรายอมโดดลงมาช่วยด้วยตัวเอง จากการล้อบบี้ของ แบ๊ท มาสเตอร์สัน ซึ่งขณะนั้นเป็นนายอำเภออยู่ที่เมืองทรินิแดด  

โดยผู้ว่าการรัฐฯนอกจากจะปฏิเสธไม่ยอมรับหนังสือขอตัวผู้ร้ายข้ามแดนแล้ว ยังออกคำสั่งให้ปล่อยด๊อคเป็นอิสระอีกด้วย 

ด๊อคยังคงเตร็ดเตร่อยู่ในแถบโคโลราโด ถึงปี ค.ศ. 1884 มีข่าวว่า ด๊อคยิงนักเลงอีกคนหนึ่งชื่อ บิลลี่ แอลเล็น (Billy Allen) ซึ่งก็เป็นเพื่อนของ จอห์น ไทเล่อร์ อีกเหมือนกัน ตายไปอีกคน 

จากนั้นสุขภาพของด๊อคเริ่มทรุดโทรมลงมากขึ้น มีอาการแย่ลงเรื่อยๆ จึงเดินทางไปเข้าพักรักษาตัวที่สถานพักฟื้นแห่งหนึ่งในเมือง เกล็นวู้ด สปริงส์ (Glenwood Springs) เมื่อเดือนพฤษภาคมปี ค.ศ. 1887 เพื่อทดลองรักษาด้วยไอกำมะถันจากบ่อน้ำพุร้อน แต่อาการก็ไม่ดีขึ้น 

ด๊อคมาถึงวาระสุดท้ายของชีวิตที่สถานพักฟื้นแห่งนี้ โดยใช้เวลา 57 วันสุดท้ายอยู่บนเตียง และหลับไปด้วยอาการไข้ประกอบกับความมึนเมา (สุรา) เสียเป็นส่วนใหญ่ 

จากที่เคยเป็นหนุ่มรูปหล่อมาแต่ก่อน บัดนี้มีสภาพเหมือนชายแก่ ผอมเหี่ยว ตัวงอ และผมหงอกทั้งศีรษะ ทั้งๆที่อายุเพิ่งจะ 36 ปีเท่านั้น 

ด๊อคตื่นขึ้นมาลืมตาขึ้นดูโลกเป็นครั้งสุดท้าย เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน สิ่งแรกที่ทำคือบอกกับคนดูแลว่า ขอวิสกี้สักกรึ๊บหนึ่งเถอะ 

พอได้มาตามคำขอแล้ว ด๊อคก็จิบวิสกี้พลางมองไปที่ปลายเตียง เห็นเท้าเปล่าๆของตัวไม่มีรองเท้าบู๊ทสวมอยู่ ก็พูดขึ้นว่า “มันตลกดีนะ“

แล้วก็ขาดใจตาย 

ด๊อคคงจะนึกย้อนเวลากลับไปว่า ตัวเองเป็นคนมีตระกูลสูง ร่ำเรียนมาอย่างดี ตั้งใจจะเป็นหมอฟันที่ประสบความสำเร็จมีชื่อเสียง

แต่แล้วโชคชะตากลับไม่เป็นใจ มาป่วยเป็นโรคร้ายเสียตั้งแต่อายุเพียง 22 ถูกหมอวินิจฉัยว่าจะอยู่ได้อีกเพียงไม่ถึงปี 

จึงตัดสินใจประชดชีวิต ด้วยการมีพฤติกรรมโลดโผน พร้อมที่จะเอาเรื่องท้าดวลกับทุกคนหากไม่ชอบใจ เสี่ยงตายกับลูกปืนแบบไม่เคยยี่หระ  น่าจะต้องพลาดพลั้งเสียทีแก่ผู้ที่มีฝีมือเหนือกว่า และตายด้วยพิษลูกตะกั่วโดยยังไม่ได้ถอดรองเท้าบู๊ทเข้าสักวัน 

แต่แล้วโชคชะตาก็กลับเล่นตลกด้วยอีก ปล่อยให้มีชีวิตอยู่ต่อมานานเกินกว่าที่หมอคาดไว้ตั้ง 13 ปี

แถมให้มานอนหมดแรงอยู่บนเตียงโดยไม่ต้องใส่รองเท้าบู๊ทเสียด้วย 

ของสะสมสำหรับแฟนๆของ ด๊อค ฮอลลิเดย์
ทำเป็นแผ่นประกาศแจ้งข่าวงานพิธีศพของด๊อค

ในตอนต่อไป ผมจะได้กล่าวถึงมือปืนคนสำคัญอีกรายหนึ่ง ที่เอาตัวรอดปลอดภัยมาได้ตลอดจากการดวลทุกครั้ง และตายโดยไม่ได้ใส่รองเท้าบู๊ทอีกเหมือนกัน ผมได้เคยเอ่ยชื่อไปบ้างแล้วในตอนก่อนๆ
ส่วนจะเป็นใครนั้น ผมขออุบให้ทายกันไปก่อนนะครับ คิดว่าท่านผู้อ่านที่ติดตามคาวบอยกับปืนคู่ใจมาตลอดอาจจะพอเดาออก

แล้วพบกับคำเฉลย พร้อมทั้งเรื่องราวทั้งหมดในครั้งหน้านะครับ

มาร์แชลต่อศักดิ์
สิงหาคม 2544