กันไฟ้ท์ แอ็ท เดอะ โอเค คระราล ที่สุดของที่สุดแห่งการดวล ตอน เอิ๊ร์ปเอาวา! (3/3)


ผ่านไปแล้วสองตอนนะครับ สำหรับครบรอบ 120 ปี กันไฟ้ท์ แอ็ท เดอะ โอเค คระราล ที่ท่านผู้อ่านจะพบได้แต่ใน กันส์ เวิลด์ ไทยแลนด์ เท่านั้น

ท่านที่ติดตามมาตั้งแต่ตอนแรกคงจะพอสังเกตได้ว่า เหตุการณ์ต่างๆที่เคยเกิดขึ้นเมื่อร้อยกว่าปีก่อน เปรียบเทียบกับสถานการณ์โลกทุกวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นระดับท้องถิ่นหรือระดับนานาชาติ ดูเหมือนไม่ค่อยจะแตกต่างกันเท่าไรนัก

ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของผลประโยชน์ การขัดแย้ง การแบ่งเป็นฝักเป็นฝ่าย กระบวนการยุติธรรมที่ไม่ยุติกรรม การแก้ปัญหาด้วยการใช้กำลัง การโฆษณาชวนเชื่อ การใส่ร้ายป้ายสีกัน ในอดีตเคยทำกันอย่างไร ปัจจุบันก็ยังคงทำแบบเดียวกันอยู่ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง

ความแตกต่างเห็นจะมีแต่เพียงเทคโนโลยีที่นำมาใช้เท่านั้นเอง

เรามาดูตอนสุดท้ายของ กันไฟ้ท์ แอ็ท เดอะ โอเค คระราล แล้วลองติดตามเหตุการณ์สำคัญของโลกประกอบไปด้วย อาจจะเห็นความคล้องจองกัน แม่นกว่าอ่านคำทำนายของอีตานอสตราดามุสก็ได้นะครับ

ความเดิมคราวที่แล้ว หลังจากพวกเอิ๊ร์ปบุกเข้าเผชิญหน้ากับพวกแคลนตั้น จนเกิดการดวลครั้งประวัติศาสตร์ขึ้นที่ โอเค คระราล เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม ค.ศ.1881 เป็นผลให้พวกของแคลนตั้นต้องเสียชีวิตไปสามคน ส่วน ไอ๊ค์ แคลนตั้น เอาตัวรอดไปได้ด้วยการวิ่งหนี


วายแอ็ท เอิ๊ร์ป
จากภาพเขียนบนปกหนังสือชื่อ
The Illustrated Life and
Times of Wyatt Earp 

เรื่องได้ดำเนินมาถึงจุดแตกหักอีกครั้งหนึ่ง เมื่อพี่น้องของ วายแอ็ท เอิ๊ร์ป สองคน ผู้มีส่วนร่วมในการเผด็จศึกพวกแคลนตั้นที่ โอเค คระราล ได้แก่ เวอร์จิลและมอร์แกน ถูกมือปืนลึกลับลอบยิงข้างหลังตอนกลางคืน ในเวลาห่างกันเพียงสองเดือนเศษๆ

เวอร์จิลกลายเป็นคนพิการใช้แขนซ้ายไม่ได้ทั้งแขน ส่วนมอร์แกนถึงขั้นเสียชีวิตไปเลย

วายแอ็ทเชื่อมั่นเต็มที่ แม้จะยังไม่มีหลักฐานมาพิสูจน์ให้ชาวโลกเห็น ว่า ไอ๊ค์ แคลนตั้น จะต้องเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการก่อการร้ายทั้งสองครั้งนี้

ทันทีที่ทราบข่าวร้าย วอร์เรน เอิ๊ร์ป (Warren Earp) น้องชายคนเล็กของตระกูลเอิ๊ร์ป ซึ่งทำงานอยู่ที่เมืองวิลค็อกซ์ (Wilcox) ไม่ไกลจากทูมบ์สโตนมากนัก ก็รีบเดินทางมาสมทบกับวายแอ็ททันที

วายแอ็ทตัดสินใจแล้วว่า จะดำเนินการขั้นเด็ดขาดในการกวาดล้างแก๊งแคลนตั้นให้สิ้นซากด้วยวิธีตาต่อตาฟันต่อฟัน อาศัยอำนาจในฐานะผู้ช่วย ยู.เอส.มาร์แชล แต่งตั้งชุดปฏิบัติการพิเศษขึ้นสำหรับภารกิจนี้ ประกอบด้วยตัวเองเป็นหัวหน้า ให้ ด๊อค ฮอลลิเดย์ เพื่อนซี้ผู้รู้ใจที่เคยร่วมเป็นร่วมตายกันมาแล้วคนหนึ่ง กับวอร์เรนน้องชายอีกคนหนึ่งเป็นรองหัวหน้า พร้อมด้วยมือปืนฝีมือดีที่ไว้วางใจได้อีก 2 คน เป็นลูกทีม

 ด๊อค ฮอลลิเดย์
ภาพเขียนฝีมือของ
ชาร์ลส์ เดียร์บอร์น 

แต่ก่อนเริ่มออกปฏิบัติการตอบโต้ วายแอ็ทก็ไม่ประมาทที่จะเตรียมมาตรการรักษาความปลอดภัย ด้วยการอพยพพี่น้องของตนและครอบครัวออกไปจากทูมบ์สโตนให้ไกลที่สุดเสียก่อน เพื่อไม่ให้ต้องกลายเป็นเป้าหมายของผู้ก่อการร้ายอีกต่อไป

หลังจากปรึกษากันในระหว่างพี่น้องแล้วก็ตกลงกันว่า จะนำศพของมอร์แกนไปฝังไว้ที่เมืองโคลตั้น (Colton) ในแคลิฟอร์เนีย โดยพี่ชายทั้งสอง คือเจมส์กับเวอร์จิลและภรรยา กับภรรยาหม้ายของมอร์แกน จะเดินทางไปพร้อมกันทีเดียวทั้งหมด

แผนอพยพดำเนินการอย่างเร่งรีบ เพื่อไม่ให้ฝ่ายศัตรูทราบความเคลื่อนไหวได้ทัน ทุกคนเก็บข้าวเก็บของอย่างรวดเร็ว ออกจากทูมบ์สโตนทันทีภายในเวลาไม่ถึง 48 ชั่วโมง หลังการตายของมอร์แกน 

และเพื่อให้ปลอดจากอันตรายอันอาจเกิดขึ้น หากมีการซุ่มโจมตีระหว่างทาง วายแอ็ทกับชุดปฏิบัติการพิเศษก็ร่วมเดินทาง ทำหน้าที่คุ้มกันพี่น้องของตัวและครอบครัวไปด้วย (แต่ไม่ได้กะจะไปจนถึงแคลิฟอร์เนียหรอกนะครับเดี๋ยวเลยไม่ได้ปราบผู้ก่อการร้ายกันพอดี)

ทั้งหมดเดินทางไปกับขบวนรถไฟสายเซ้าเธิร์นแปซิฟิค (Southern Pacific Railroad) โดยมีเป้าหมายว่าจะแยกทางกันที่สถานีเมืองทูซอน (Tucson) อันเป็นสถานีใหญ่ อยู่ห่างจากทูมบ์สโตนไปทางตะวันตกเฉียงเหนือประมาณ 60 ไมล์ (96 กิโลเมตร)

หากรถไฟพ้นสถานีนี้ไปได้ โอกาสที่พวกแคลนตั้นจะติดตามไปโจมตีก็เหลือน้อยเต็มทีหรือไม่มีแล้ว

ขบวนรถไฟมาถึงสถานีเมืองทูซอน โดยไม่มีเหตุร้ายใดๆเกิดขึ้น รถเข้าเทียบชานชาลา ในเวลาดึกสงัดของคืนวันจันทร์ที่ 20 มีนาคม ค.ศ.1882 ทุกอย่างดูปลอดโปร่ง ไม่มีผู้คนหรือสิ่งผิดปกติให้เห็น

แต่แล้วอยู่ดีๆ แฟร้งค์ สติลเวลล์ (Frank Stilwell) ก็ปรากฏตัวขึ้นที่ชานชาลาสถานี

ท่านผู้อ่านที่ติดตามมาตั้งแต่ตอนแรก คงยังจำได้นะครับว่า แฟร้งค์เป็นสมาชิกคนสำคัญของพวกแคลนตั้น เคยดำรงตำแหน่งผู่ช่วยเชอร์ริฟของ จอห์นนี่ บีแฮน ผู้สนับสนุนแคลนตั้น และคู่ปรับทางการเมืองของวายแอ็ท ภายหลังถูกวายแอ็ทจับเป็นผู้ต้องหาในคดีปล้นรถโดยสาร

และยังเป็นผู้ที่วายแอ็ทเชื่อว่า มีส่วนในการลอบยิงทั้งเวอร์จิลและมอร์แกนด้วย

 แฟร้งค์ สติลเวลล์ 

แฟร้งค์จะมาป้วนเปี้ยนอยู่แถวสถานีรถไฟเมืองทูซอนเพียงคนเดียวหรือหลายคน เป็นการบังเอิญ หรือเฉพาะเจาะจงจะต้องมาที่นี่ในเวลานี้ และมีวัตถุประสงค์อันใด จนบัดนี้ก็ยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด

แต่คงไม่ได้กะจะมาสวัสดีลาก่อน หรือโบกมือบ๊ายบายอำลาครอบครัวเอิ๊ร์ปขอให้เดินทางโดยสวัสดิภาพแน่

วายแอ็ทเอง ก็ไม่สนใจจะเสียเวลาสอบถามอะไรทั้งสิ้น ปฏิบัติการตอบโต้ผู้ก่อการร้ายระลอกแรกเริ่มขึ้นทันที โดยมีแฟร้งค์เป็นเหยื่อรายแรก

ไม่มีใครเห็นว่าวายแอ็ทและพรรคพวกจัดการกับ แฟร้งค์  สติลเวลล์ อย่างไร จนเช้าวันรุ่งขึ้น ถึงได้มีผู้พบศพแฟร้งค์ ในสภาพถูกยิงน่วมเละเทะไปทั้งตัวตั้งแต่หัวจดเท้า ด้วยปืนลูกซองและปืนพกในระยะเผาขน เขม่าดินปืนยังติดอยู่ตามตัวเต็มไปหมด

 แผนที่ดาวน์ทาวน์ หรือบริเวณใจกลางเมืองทูซอนในปัจจุบัน
แสดงรายละเอียดถนนหนทางและสถานที่สำคัญต่างๆ
ที่เห็นวงกลมไว้ คือสถานีรถไฟสายเซ้าเธิร์นแปซิฟิค
 ตรงกากะบาทคือ จุดที่ แฟร้งค์ สติลเวลล์
ถูก วายแอ็ท เอิ๊ร์ป และพรรคพวกสังหาร 

ผู้ช่วย ยู.เอส.มาร์แชล คนหนึ่งให้การว่า ตัวเองอยู่ในเมืองได้ยินเสียงปืนหลายนัด แต่ไม่นึกว่าจะมีอะไร

ชาวบ้านกลุ่มหนึ่งให้การว่า ได้ยินเสียงปืนและพยายามเข้าไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ถูกขัดขวางด้วยกลุ่มชายฉกรรจ์อาวุธครบมือ

ชาวบ้านอีกกลุ่มหนึ่งบอกว่า นึกว่าเขายิงปืนฉลองกัน

แต่มีมือดีรายหนึ่งอ้างว่า เห็นวายแอ็ทเป็นคนลงมือจัดการกับแฟร้งค์ด้วยตนเอง และไปแจ้งจับวายแอ็ทและด๊อค ข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา ในเช้าวันนั้นทันที

วายแอ็ทไม่สนใจเลยว่าอะไรจะเกิดขึ้น นำชุดปฏิบัติการออกจากทูซอนไปตั้งแต่ตอนกลางคืนแล้ว หลังจากจัดการกับแฟร้งค์ และอำลาพี่น้องเสร็จเรียบร้อย

ชุดปฏิบัติการเดินทางกลับมาถึงทูมบ์สโตนในตอนบ่ายวันต่อมา เพื่อสะสมเสบียงและลูกกระสุนเตรียมออกปฏิบัติการระลอกต่อไป

ท่านผู้อ่านคงพอเดาได้นะครับว่า มือดีที่ไปแจ้งความนั้น เป็นใครอื่นไปไม่ได้ นอกจาก ไอ๊ค์ แคลนตั้น เจ้าเก่านั่นเอง

 ไอ๊ค์ แคลนตั้น 

ไอ๊ค์อ้างว่า ตัวเองเดินทางไปทูซอนพร้อมกับ แฟร้งค์ สติลเวลล์ เพื่อเตรียมให้การเป็นพยานยืนยันกับศาลที่เมืองทูซอน ในคดีฆาตกรรม มอร์แกน เอิ๊ร์ป ว่าแฟร้งค์เป็นผู้บริสุทธิ์ แต่กลับได้เห็น วายแอ็ท เอิ๊ร์ป ตั้งศาลเตี้ยพิพากษาแฟร้งค์เองแทน (แต่ทำไมถึงปล่อยให้แฟร้งค์ไปถูกยิงคนเดียวได้ หรือตัวเองวิ่งหนีไปเสียก่อนอีกก็ไม่รู้)

ที่ทูมบ์สโตน วันอังคารที่ 21 มีนาคม ค.ศ.1882 เชอร์ริฟ จอห์นนี่ บีแฮน ได้รับโทรเลขจากเมืองทูซอนว่า ทางการตัดสินใจเตรียมออกหมายจับ วายแอ็ท เอิ๊ร์ป และ ด๊อค ฮอลลิเดย์ ในข้อหาฆ่า แฟร้งค์ สติลเวลล์ ขอให้เจ้าหน้าที่ทุกคนช่วยกันติดตามจับตัวมาดำเนินคดีด้วย

จอห์นนี่อ่านโทรเลขจบ ยังไม่ทันจะเคลื่อนไหวอะไร ก็เห็นวายแอ็ทกับพลพรรค กำลังจะออกเดินทางออกจากเมือง มีเสบียงและอาวุธกระสุนเพียบ อย่างที่เรียกได้ว่าเกินพอ

 จอห์นนี่ บีแฮน 

จอห์นนี่เดินเข้าไปหาวายแอ็ท พูดว่า วายแอ็ท ผมต้องการพบคุณ

วายแอ็ทตอบว่า จอห์นนี่ หากคุณไม่ระวังตัวให้ดีละก็ คุณต้องได้พบกับผมอีกหลายครั้งจนเบื่อแน่ (ไม่รู้เหมือนกันครับว่าหมายความว่าอะไร) แล้วก็ขึ้นม้าขี่ออกจากเมืองไปกับพลพรรคของตนอย่างไม่แยแส

มีจอห์นนี่ยืนดูตาปริบๆอยู่ข้างหลัง ไม่ทันมีโอกาสได้บอกสวัสดีลาก่อน หรือโบกมือบ๊ายบายวายแอ็ท ขอให้เดินทางโดยสวัสดิภาพอีกเหมือนกัน

เป้าหมายคนต่อไปของวายแอ็ท ก็คือ พี้ท สเป๊นซ์ (Pete Spence) หนึ่งในสมาชิกแถวหน้าของพวกแคลนตั้น เคยถูกวายแอ็ทจับเป็นผู้ต้องหาเหมือนกันในคดีปล้นรถโดยสารร่วมกับ แฟร้งค์ สติลเวลล์ ล่าสุดพนักงานสอบสวนคดีฆาตกรรมมอร์แกน รวบรวมพยานหลักฐานชี้ชัดแล้วว่า เป็นผู้ลงมือร่วมกับแฟร้งค์

วันพุธที่ 22 มีนาคม ค.ศ.1882 วายแอ็ทกับชุดปฏิบัติการบุกเข้าไปถึงบ้านของพี้ท ทางตะวันออกของเมืองทูมบ์สโตน ห่างไปไม่กี่ไมล์แบบสายฟ้าแลบ กะเอาตัวมาจัดการเสียอีกคน

แต่ต้องผิดหวัง เมื่อปรากฏว่า พี้ทไม่อยู่บ้าน เจอแต่คู่หูของพี้ทชื่อ อินเดียน ชาร์ลี (Indian Charlie) กำลังผ่าฟืนอยู่หลังกระท่อม

อินเดียน ชาร์ลี เป็นสมาชิกคนสำคัญของพวกแคลนตั้น และเป็นอีกคนที่วายแอ็ทปักใจเชื่อว่า เกี่ยวข้องกับการตายของน้องชาย หรือถึงแม้จะไม่เกี่ยว ก็ต้องให้การสนับสนุน หรือเข้าข้างผู้ก่อการร้ายอยู่ดีนั่นแหละ ยังไงๆก็ไม่ใช่พวกเดียวกัน จะมาอ้างว่าเป็นกลางไม่เข้าข้างไหนไม่ได้ทั้งนั้น

อินเดียน ชาร์ลี จึงตกเป็นเหยื่อ ถูกวายแอ็ทกับพวกทำวิสามัญไปเรียบร้อยอีกหนึ่งราย

วิธีการนั้นเลื่องลือกันต่อมาปากต่อปากว่า วายแอ็ทกับพวกขี่ม้าไล่ต้อน อินเดียน ชาร์ลี ซึ่งนอกจากจะมีเพียงขวานที่ใช้ผ่าฟืนแล้ว ไม่ปรากฏว่ามีอาวุธอื่นใดติดตัวอีก ไปรอบๆบริเวณ จน อินเดียน ชาร์ลี เหนื่อยหมดแรงยืนไม่ไหวต้องลงคุกเข่านั่ง 

ศพของ อินเดียน ชาร์ลี ที่ชาวบ้านมาพบหลังจากนั้น ก็มีสภาพไม่แตกต่างจากศพของ แฟร้งค์ สติลเวลล์ เท่าไรนัก

พี้ท สเป๊นซ์ จึงรอดตัวไปได้อย่างหวุดหวิด ไม่ต้องกลายเป็นผีเฝ้าบ้านตัวเอง

การที่พี้ทไม่อยู่ที่บ้านนั้น ไม่ได้เป็นเพราะโชคดีหรือเหตุบังเอิญหรอกครับ แต่เป็นฝีมือของ จอห์นนี่ บีแฮน อีกนั่นแหละ

จอห์นนี่ทราบจากพนักงานสอบสวนคดีฆาตกรรมมอร์แกน ตั้งแต่วันก่อนแล้วว่า พี้ทเป็นผู้ต้องสงสัย จึงรีบส่งข่าวบอกพี้ท ให้เข้ามามอบตัวกับตนเสียก่อนที่วายแอ็ทจะกลับมาจากทูซอน

เมื่อได้ตัวมาแล้ว จอห์นนี่ก็จัดการจับพี้ทใส่ห้องขังไว้ แต่เป็นการขังแบบพิสดารไม่เหมือนใคร นั่นคือทิ้งปืนหนึ่งกระบอกพร้อมกระสุนไว้กับนักโทษด้วย เผื่อว่าวายแอ็ทเกิดโผล่มาเยี่ยมโดยไม่ได้นัดหมาย จะได้สังสรรค์กันถนัดๆหน่อย

จากนั้น จอห์นนี่จึงจัดกำลังเตรียมออกติดตามจับตัววายแอ็ทบ้าง มีอาสาสมัครร่วมทีมที่ไม่ใช่ใครอื่นไปได้นอกจาก ไอ๊ค์ แคลนตั้น เจ้าเก่าอีกนั่นแหละ

แถมด้วย จอห์น ริงโก้ (John Ringo) อีกหนึ่งในสมาชิกแถวหน้าของพวกแคลนตั้น ผู้สถาปนาตนเองเป็นโฆษกพรรค (ไม่เชิงทีเดียวครับ หมายถึงชนิดชอบออกหน้าออกตาปกป้องพรรคพวก ประเภทองครักษ์พิทักษ์นายอะไรแบบนั้นมากกว่า)

ริงโก้เคยท้าวายแอทกับด๊อคดวลกลางถนนมาแล้วครั้งหนึ่ง เมื่อวายแอ็ทเพิ่งได้รับแต่งตั้งเป็นผู้ช่วย ยู.เอส. มาร์แชล สดๆร้อนๆหลังจากเวอร์จิลถูกยิงได้ไม่กี่วัน เพราะโมโหที่ถูกวายแอ็ทมาทำเป็นเล็คเชอร์สั่งสอนให้รู้จักความดีความชั่ว แนะนำให้เลิกคบกับพวกแคลนตั้น

แต่ไม่ทันได้ยิงกัน เพราะเจ้าหน้าที่คนอื่นๆที่เห็นเหตุการณ์มาช่วยกันจับแยกออกเสียก่อน

จอห์น ริงโก้ 

เป็นอีกครั้งหนึ่ง ที่ชาวบ้านได้เห็นชุดไล่ล่าสองชุดออกติดตามไล่จับกันเอง

วายแอ็ทยังตกอยู่ในฐานะเสียเปรียบทางการเมืองเช่นเดิม เพราะนอกจากจะถูกทางการออกหมายจับในคดีอาญาแล้ว ข่าวเรื่องวายแอ็ทตอบโต้พวกแคลนตั้นโดยจัดการกับ แฟร้งค์ สติลเวลล์ และ อินเดียน ชาร์ลี อย่างโหดเหี้ยมไร้ความปรานี ทำให้ชาวบ้านส่วนใหญ่เกิดความวิตกกังวลว่าจะเกิดการล้างแค้นครั้งใหญ่ตามกันมาอีกไม่หยุดหย่อน 

อาจบานปลายไปเป็นสงครามโลก บางทีเชื้อแอนแทร็กซ์อาจจะระบาด บ้านเมืองก็จะไม่สงบสุขเศรษฐกิจพลอยตกต่ำ ทำมาหากินไม่สะดวกอย่างแต่ก่อน อะไรทำนองนี้แหละครับ 

ส่วนชาวบ้านกลุ่มที่เคยสนับสนุน และเห็นใจวายแอ็ทมาก่อน ก็เริ่มมองว่า วายแอ็ทชักจะตั้งตัวเป็นผู้จัดระเบียบโลก ตั้งกฎเกณฑ์ว่าอะไรถูกอะไรผิดเสียเอง ลงมือทำโน่นทำนี่ตามใจชอบ ไม่นับถือกฎหมายบ้านเมือง หรือสนใจความรู้สึกของชาวบ้านว่าจะคิดอย่างไรแล้ว

ความจริงก็คงจะเป็นเช่นนั้น วายแอ็ทไม่ได้สนใจเสียงสนับสนุนทางการเมืองอีกต่อไป เดินหน้ากวาดล้างพวกผู้ก่อการร้ายตามเป้าหมายของตนอย่างไม่ลดละ

เร่งติดตามหาตัว พี้ท สเป๊นซ์ เมื่อรู้ว่าหนีออกจากบ้านไปแล้ว โดยไม่ทราบว่า จอห์นนี่รับตัวไปอารักขาไว้ 

ชุดปฏิบัติการของวายแอ็ท ตามล่าตัวพี้ทแบบพลิกแผ่นดิน ในพื้นที่รอบๆเมืองทูมบ์สโตน ไม่ได้เฉลียวใจสักนิดว่า ที่แท้ก็หลบอยู่ในคุกของจอห์นนี่ ที่ใจกลางเมืองนั่นเอง

วันพฤหัสฯที่ 23 มีนาคม ค.ศ.1882 วายแอ็ทและชุดปฏิบัติการตกเป็นฝ่ายตั้งรับครั้งแรก ถูกซุ่มโจมตีโดยชุดมือปืนของพวกแคลนตั้น ขณะหยุดพักอยู่ข้างลำธารในบริเวณที่เรียกว่า ไอรอ็อน สปริงส์ (Iron Springs) นอกเมืองทูมบ์สโตนไปทางทิศตะวันตกประมาณ 20 ไมล์ (32 ก.ม.)

หัวหน้าชุดโจมตีได้แก่ เคอร์ลี่ บิล โบรเชียส (Curly Bill Brocious) อีกหนึ่งในสมาชิกระดับแกนนำ เคยมีเรื่องมีราวกับวายแอ็ทมาแล้ว เมื่อครั้งที่ตัวเองเมาสุราอาละวาด ใช้ลูกไม้หลอกยิงมาร์แชลของเมืองทูมบ์สโตนตายขณะกำลังถูกจับกุม แต่แล้วถูกวายแอ็ทใช้ปืนตีหัวก่อนลากตัวส่งเข้าคุก

เคอร์ลี่ บิล โบรเชียส
ภาพเขียนโดย ลีอา เอ็ฟ. แม็คคาร์ที

การปะทะครั้งนี้ ทั้งสองฝ่ายมีกำลังเท่าๆกัน แต่ฝ่ายของวายแอ็ทออกจะเสียเปรียบทางชัยภูมิเล็กน้อย เนื่องจากอยู่ในพื้นที่ต่ำกว่า อาศัยว่ามีที่กำบังพอเพียงจึงไม่ถึงกับเพลี่ยงพล้ำ

ทั้งสองฝ่ายยิงต่อสู้กันอย่างดุเดือด เสียงปืนดังหูดับตับไหม้แต่ไม่ค่อยตื่นเต้นนัก เนื่องจากฝ่ายของวายแอ็ทมัวเอาแต่หลบกระสุนเสียมากกว่า นานๆครั้งจึงจะมีโอกาสยิงตอบสักนัด เพราะอยู่ในมุมอับ

ส่วนฝ่ายของ เคอร์ลี่ บิล  ซึ่งอยู่บนเนินสูง ก็ยิงอุตลุดแบบเอามันไปเรื่อยไม่ยอมหยุด

จนในที่สุดยังไม่แพ้ชนะกัน

ด้วยความฮึดฮัดและฮึกเหิม เคอร์ลี่ บิล ตัดสินใจโชว์วิสัยทัศน์ผู้นำ สั่งเข้าประจัญบานโดยตัวเองลุกออกนำหน้า เดินลงเนินข้ามลำธารบุกเข้าหาวายแอ็ท พลางระดมยิงด้วยโค้ลท์ 2 กระบอกในมือ

วายแอ็ทมองเห็นแล้วว่า เคอร์ลี่ บิล ทะเร่อทะร่าเข้ามาคนเดียว ไม่ได้มีลูกน้องติดตามมาด้วยซักคน (ลูกน้องคงจะฉลาดกว่าท่านผู้นำ รู้ว่าขืนโชว์ตัวออกมาให้อีกฝ่ายซึ่งมีที่กำบังดีเห็นได้ชัด ก็เท่ากับเปลี่ยนสถานะตัวเองให้เป็นเป้าไปนะซิ) ก็คอยนับเสียงปืนของ เคอร์ลี่ บิล ที่กำลังเดินใกล้เข้ามา

ขณะเดียวกันรีบบรรจุกระสุนลงในปืนโค้ลท์ ซิงเกิ้ล แอ๊คชั่น อาร์มี่ (Colt Single Action Army) ของตนให้เต็มพิกัด สำรองด้วยกระสุนบั๊คช้อทอีกสองนัดในลูกซองแฝดสตีเว่นส์ (Stevens) เตรียมพร้อมไว้

 หลังจากการดวลที่ โอเค คระราล จบลงไม่นาน
วายแอ็ท เอิ๊ร์ป สั่งซื้อปืนพกลูกโม่ โค้ลท์ ซิงเกิ้ล แอ๊คชั่น อาร์มี่
หมายเลขประจำตัวปืน 69562
วายแอ็ทพกปืนโค้ลท์กระบอกนี้เป็นอาวุธประจำตัว
ตลอดเวลาในระหว่างการออกติดตามล่าสังหารผู้ก่อการร้าย

ลูกซองแฝดขนาด 10 ของสตีเว่นส์
เป็นปืนคู่มืออีกกระบอกหนึ่งของ วายแอ็ท เอิ๊ร์ป
ที่ใช้สังหาร เคอร์ลี่ บิล โบรเชียส
ในการปะทะกันที่ ไอรอ็อน สปริงส์
ของแท้หาดูยากมาก ขออนุญาตนำรุ่น
ที่ผลิตในปี ค.ศ.1889 มาให้ดูแทน
(เอื้อเฟื้อภาพโดยคุณยุทธดนัย เทพหัสดินฯ) 

พอนับเสียงปืนของ เคอร์ลี่ บิลได้ครบ 12 นัด วายแอ็ทก็ลุกพรวดพราดขึ้น เดินฝ่าห่ากระสุนที่ลูกน้องของ เคอร์ลี่ บิล คอยยิงสนับสนุน ลุยน้ำข้ามลำธาร รี่เข้าใส่ เคอร์ลี่ บิล ผู้ซึ่งชะล่าใจ ยืนบรรจุกระสุนปืนของตัวอยู่กลางน้ำ โดยไม่ยอมหาที่กำบัง

วายแอ็ทเหนี่ยวไก ระเบิดลูกซองทั้งสองนัดจากแฝดสตีเว่นส์เกือบจะพร้อมๆกัน กระสุนบั๊คช้อทวิ่งเข้าหาเป้าหมาย โดนเข้าจังๆกลางพุงกะทิ เคอร์ลี่ บิล ตัวงอลงทันทีเหมือนหักเป็นสองท่อน

วายแอ็ทไม่ยอมหยุดแค่นี้ ชักปืนโค้ลท์ตามขึ้นมายิงเข้าใส่ เคอร์ลี่ บิล ต่ออีก จนเละแทบเป็นวุ้นอยู่กลางลำธาร

บรรดาลูกน้องของ เคอร์ลี่ บิล เห็นวายแอ็ทสำแดงฤทธิ์ เดินฝ่าดงกระสุนเข้ามาจัดการปราบลูกพี่ของตัวได้โดยไม่สะทกสะท้าน ไม่มีรอยขีดข่วน นับเป็นอภินิหารอันประจักษ์ ต่างชักเกรงกลัวบารมี จึงพากันหลบหนีล่าถอยไป

ส่วนบรรดาพรรคพวกของวายแอ็ททั้งหลาย ต่างเอ่ยวาจาสรรเสริญ เห็นวายแอ็ทเดินอยู่บนผิวน้ำ ซ้ำรอบกายเปล่งรัศมีสว่างไสว ยามลั่นไกดั่งสายฟ้าฟาด อะไรทำนองนั้น (ท่านกำลังอ่านเรื่องคาวบอยอยู่นะครับ ไม่ใช่นิยายกำลังภายในจักรๆวงศ์ๆ อย่าเพิ่งเคลิบเคลิ้มไปเสียก่อน)

ภาพจำลองเหตุการณ์ ขณะ วายแอ็ท เอิ๊ร์ป
เดินลุยน้ำข้ามลำธารเข้ายิง
เคอร์ลี่ บิล โบรเชียส ที่ ไอรอ้อน สปริงส์
จากภาพยนตร์เรื่อง ทูมบ์สโตน 

เป็นอันว่า ชุดปฏิบัติการของวายแอ็ท สามารถกวาดล้างแกนนำผู้ก่อการร้ายไปได้แล้วสามราย

แต่ยังคงเหลืออีกสาม ได้แก่ พี้ท สเป๊นซ์ คนนึง จอห์น ริงโก้ อีกคนนึง และที่สำคัญที่สุด ไอ๊ค์ แคลนตั้น ผู้เป็นหัวหน้าใหญ่ 

ปัญหาก็คือ ทั้งสามคนขณะนี้อยู่ภายใต้การอารักขาของ เชอร์ริฟ จอห์นนี่ บีแฮน ผู้มีอำนาจเต็มในการจับตัววายแอ็ทกับพวก ในข้อหาฆาตกรรม

 แผนที่บรรยายเหตุการณ์ยิงกัน
ที่ ไอรอ็อน สปริงส์ และเส้นทางเดินทาง
ของ วายแอ็ท เอิ๊ร์ปกับคณะหลังจากนั้น
ตามที่วายแอ็ททำบันทึกไว้เป็นหลักฐาน 

นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ผู้รักษากฎหมายอื่นในเขตอริโซน่าทุกมณฑล ต่างก็ได้รับคำสั่งจากทางการ ให้ช่วยกันค้นหาตัววายแอ็ทกับพวก มาดำเนินคดีตามหมายจับด้วยเช่นกัน

หรืออีกนัยหนึ่ง ทางการอริโซน่าถือว่า วายแอ็ทเป็นผู้ร้ายนอกกฎหมายไปแล้ว โดยที่กระแสสังคมเริ่มมีท่าทีเห็นชอบด้วย

วายแอ็ทจะหาโอกาสแก้ตัว หรืออธิบายอะไรๆผ่านทางรายการจำพวก มาร์แชลเอิ๊ร์ปคุยกับประชาชน สมัยนั้นก็ยังไม่มีวิทยุโทรทัศน์ออกอากาศให้รับชมรับฟัง จะทำโพลล์สำรวจประชามติหรือ สมัยนั้นก็ยังไม่มีสำนักโพลล์อีก

ถึงเวลาจำเป็นต้องทบทวนแผนการใหม่ ว่าควรดำเนินการอย่างไรต่อไป เหตุการณ์ได้มาถึงจุดหักเหอีกครั้งหนึ่ง

หลังจากประเมินสถานการณ์ ดูจุดแข็งจุดด้อย ข้อได้เปรียบเสียเปรียบทั้งหมดแล้ว วายแอ็ทก็หารือกับพรรคพวก ได้ข้อสรุปเห็นพ้องต้องกันว่า ลำพังเพียงห้าคน คงจะต่อสู้ หรือหลบหลีกการตามล่าจากคนของทางการ ที่วางกำลังอยู่กระจัดกระจายทั่วไปได้ยาก จะหาที่ปลอดภัยหยุดแวะเติมเสบียงและอาวุธยุทโธปกรณ์ ก็ย่อมไม่ง่ายเหมือนแต่ก่อน 

คงไม่เป็นการฉลาดนัก ที่จะดั้นด้นติดตามกวาดล้างเป้าหมายอีกสามรายที่เหลือนั้นต่อไป โดยไม่รู้ว่าจะสำเร็จผลเมื่อใด ขณะที่เสบียงกรังมีแต่จะร่อยหรอลง แถมมีทางการทั้งโขยงคอยไล่หลังอีก

ทั้งหมดตัดสินใจยกเลิกแผนการเดิม เปลี่ยนเป็นล่าถอยเอาตัวให้รอดพ้นจากการจับกุม ก่อนที่จะสายเกินไป

วายแอ็ทนำคณะพรรคมุ่งไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ขึ้นเขาลงห้วยลุยผ่านทุ่งหญ้าและหุบเขาอันแห้งแล้งของอริโซน่า ตัดเข้าสู่ทะเลทรายและภูเขาหินสีเหลืองสลับแดงในเขต นิว เม็กซิโก

 หน้าตาของทุ่งหญ้าอันแห้งแล้งและหุบเขาในอริโซน่า
ตามเส้นทางถอยทัพของ วายแอ็ท เอิ๊ร์ป 

 ทะเลทรายและภูเขาหินสีเหลืองสลับแดงในนิวเม็กซิโก
ที่เห็นไกลๆในภาพคือ หินโบสถ์ หรือ Church Rock
อันเป็นเครื่องหมายตามธรรมชาติแห่งหนึ่ง
ที่นักเดินทางสมัยนั้นใช้เป็นจุดเปรียบเทียบ
กำหนดตำแหน่งและทิศทาง 

จากนั้นย้อนขึ้นเหนือ ข้ามชายแดนอีกครั้ง เข้าสู่ดินแดนแห่งป่าเขาอันสูงใหญ่ของรัฐโคโลราโด หลีกเลี่ยงและรอดพ้นจากการจับกุมของเจ้าหน้าที่ไปได้ตลอดรอดฝั่ง

การเดินทางสิ้นสุดลงที่เมืองกันนิสัน (Gunnison) พ้นจากชายแดน นิว เม็กซิโก มาแล้วประมาณ 120 ไมล์ (196 ก..) และห่างไกลจากอริโซน่าเพียงพอที่จะเชื่อมั่นว่า ปลอดภัยไร้กังวล พ้นเงื้อมมือของกฎหมายแน่นอน

 เส้นทางช่วงเลียบภูเขาและแม่น้ำกันนิสัน
ก่อนจะถึงตัวเมืองกันนิสันในโคโลราโด
วายแอ็ท เอิ๊ร์ป และคณะ คงจะต้องใช้เส้นทางสายนี้
เป็นเส้นสุดท้ายก่อนสิ้นสุดการเดินทาง 

หลังจากพักผ่อนกันเต็มที่ ให้สมกับที่ต้องตรากตรำทำงานหนัก ร่วมเป็นร่วมตายในปฏิบัติการปราบปรามผู้ก่อการร้ายอย่างดุเดือด โดยไม่มีการบาดเจ็บสูญเสีย และถอยทัพเดินทางไกลแบบมาราธอนบนหลังม้ามาหลายร้อยไมล์โดยสวัสดิภาพแล้ว  ก็มีการเลี้ยงฉลองชัยชนะกันตามธรรมเนียม

จบแล้ววายแอ็ทกล่าวขอบอกขอบใจผู้ร่วมงานทุกท่าน หวังว่าคงจะได้ร่วมงานใหญ่กันอีกในโอกาสต่อไป ต่างอำลาและแยกย้ายกัน ไปตามจุดมุ่งหมายและวิถีทางชีวิตของแต่ละคน 

นับจากนั้นเป็นต้นมา วายแอ็ท เอิ๊ร์ป ไม่เคยได้พบเห็นหน้าตา หรือโคจรกลับมาพบกับศัตรูคู่อาฆาตที่ยังเหลืออยู่อีกสามคน และเชอร์ริฟ จอห์นนี่ บีแฮน อีกเลย

เรื่องราวของ กันไฟ้ท์ แอ็ท เดอะ โอเค คระราล ที่สุดของที่สุดแห่งการดวล ได้มาถึงตอนอวสานแต่เพียงเท่านี้ครับ 

และเพื่อไม่ให้ท่านผู้อ่านรู้สึกว่า เอ๊ะ ทำไมดูห้วนๆจบลงดื้อๆแบบนี้ ยังไม่แพ้ชนะกันชัดๆให้เห็นเสียหน่อย กำลังรบติดพันอยู่ดีๆไหงดันถอนตัวเสียได้ หรืออะไรแบบนี้ ผมจึงขอแถมบทส่งท้ายบรรยายต่ออีกนิดหน่อย 

เลียนแบบดูหนังฮอลลีวู้ดบางเรื่อง ที่ตอนจบต้องมีตัวหนังสือเขียนเล่าความเป็นไปของบรรดาตัวเอกๆแต่ละคนในเรื่องว่า หลังจากจบเหตุการณ์ในเรื่องแล้ว ใครไปทำอะไรต่อที่ไหน พบจุดจบของตัวเองอย่างไร

มาดูกันเลยดีกว่าครับ

เจมส์ เอิ๊ร์ป เลิกอาชีพบาร์เทนเดอร์ที่เคยถนัด กลับมาร่วมกับวายแอ็ทลงทุนทำเหมืองอีกหลายครั้ง ต่อมาเมื่อถึงยุคที่ตามเมืองใหญ่ๆมีรถยนต์ใช้กันอย่างแพร่หลายทั่วไปแล้ว เจมส์ก็หันมาประกอบอาชีพขับรถแท็กซี่อยู่ในเมือง ลอส แองเจลิส และใช้ชีวิตอยู่ที่เมืองนี้ จนถึงวาระสุดท้ายของชีวิตเมื่อเดือนมกราคม ปี ค.ศ.1926 ”

เวอร์จิล เอิ๊ร์ป ได้รับแต่งตั้งให้เป็นมาร์แชลคนแรกของเมืองโคลตั้นในแคลิฟอร์เนีย ทั้งๆที่เหลือแขนขวาใช้งานได้เพียงข้างเดียว และในปี ค.ศ.1900 ได้รับคัดเลือกให้เป็นตัวแทนของพรรครีพับลิกัน ลงสมัครเข้าแข่งขันรับเลือกตั้งเป็นเชอร์ริฟแห่งมณฑลยาวะไพ (Yavapai County) ในอริโซน่า แต่ภายหลังถอนตัวเนื่องจากสุขภาพไม่อำนวย เวอร์จิลล้มป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่ และเสียชีวิตลงเมื่อเดือนตุลาคม ค.ศ.1905 ขณะยังอยู่ในตำแหน่งผู้ช่วยเชอร์ริฟแห่งมณฑลเอสเมอรัลดา (Esmeralda County) ในเนวาด้า ทุกวันนี้ เวอร์จิล เอิ๊ร์ป ยังคงได้รับการยอมรับแม้แต่จากฝ่ายตรงข้าม และผู้ที่ไม่ชอบพวกเอิ๊ร์ปว่า เป็นผู้รักษากฏหมายที่เที่ยงธรรม และน่านับถือที่สุดในบรรดาพี่น้องตระกูลเอิ๊ร์ป

วอร์เรน เอิ๊ร์ป กลับมาทำงานให้กับนายจ้างเดิมของตัว ซึ่งเป็นเจ้าของไร่ปศุสัตว์ใหญ่ที่เมืองวิลค็อกซ์ในอริโซน่า จากนั้นมาก็มีเรื่องไม่ลงรอยเป็นประจำกับนักเลงคนหนึ่งชื่อ จอห์นนี่ บอยเอ็ท (Johnny Boyett) และถูกยิงตายหลังจากเผชิญหน้ากันในซาลูนเมื่อเดือนกรกฎาคม ค.ศ.1900 ผู้เห็นเหตุการณ์เล่าว่าวอร์เรนไม่มีอาวุธ ส่วน จอห์นนี่ บอยเอ็ท ถูกจับ แต่ศาลตัดสินว่าไม่มีความผิด

ด๊อค ฮอลลิเดย์ ออกผจญภัยฉายเดี่ยวตามแบบฉบับของตนเอง รอนแรมไปยังเมืองต่างๆในรัฐโคโลราโด ไอ (เนื่องจากเป็นวัณโรค) ดื่ม (ตั้งแต่เช้าจดเย็นโดยไม่เคยเมา) มีเรื่อง (กับทุกคนที่จับได้ว่าโกงไพ่หรือมากล่าวหาว่าตัวโกง) และยิงคู่ต่อสู้ (ถ้าไม่ถึงตายก็บาดเจ็บ) ไปอีกหลายคนตลอดเส้นทาง ด๊อคใช้ชีวิต 57 วันสุดท้ายอยู่บนเตียง ในสถานพักฟื้นที่เมือง เกล็นวู้ด สปริงส์ (Glenwood Springs) และเสียชีวิตด้วยวัณโรคประกอบกับพิษสุราเรื้อรัง เมื่อเดือนพฤศจิกายน ค.ศ.1887 ทิ้งอมตะวาจาไว้ก่อนสิ้นใจว่า มันตลกดีนะ

จอห์นนี่ บีแฮน ดำเนินเกมการเมืองผิดพลาด ต้องพ้นจากตำแหน่งเชอร์ริฟ ไปรับตำแหน่งผู้ช่วยผู้บัญชาการเรือนจำที่เมืองยูม่า (Yuma) ซึ่งอยู่ชายแดนของอริโซน่า ก่อนถูกส่งไปรบในสงครามกับพวกสเปน จากนั้นหมดอนาคตทางการเมือง กลับมาทำงานเป็นเสมียนอยู่ในสภานิติบัญญัติ จอห์นนี่เสียชีวิตในปี ค.ศ.1912 อันเป็นปีเดียวกับที่อริโซน่าถูกยกฐานะจากเขตปกครองขึ้นเป็นรัฐที่ 48 ของสหรัฐอเมริกา

พี้ท สเป๊นซ์ รอดพ้นข้อหาฆาตกรรม มอร์แกน เอิ๊ร์ป ไปได้ เพราะพยานหลักฐานมัดตัวไม่แน่นพอ จากนั้นย่ามใจกระทำความผิดอีกหลายครั้งหลายหน จนในที่สุดต้องรับกรรมถูกส่งตัวไปติดคุกที่เมืองยูม่า ให้ จอห์นนี่ บีแฮน เป็นผู้ดูแลอยู่หลายปี หลังออกจากคุกเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น ปีเตอร์ เฟอร์กุสัน (Peter Ferguson) และเสียชีวิตในปี ค.ศ.1914 “

จอห์น ริงโก้ ตายอย่างลึกลับโดยไม่ทราบสาเหตุเมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม ค.ศ.1882 ชาวบ้านพบศพอยู่ในลักษณะครึ่งนั่งครึ่งนอนพิงอยู่กับต้นโอ๊คใหญ่ ในป่าแห่งหนึ่งบริเวณหุบเขาแถบชายแดนด้านตะวันออกของอริโซน่า สภาพศพถูกยิงที่หัวเละไปซีกหนึ่ง มือเท้าถูกมัด รองเท้าบู๊ทถูกผูกคร่อมไว้ไว้กับอานม้า โดยที่ม้ายังอยู่วนเวียนอยู่ไม่ไกลจากศพ ผลการสอบสวนเบื้องต้นสรุปว่าเป็นการฆ่าตัวตาย ส่วนสาเหตุที่แท้จริงของการตายยังเป็นปริศนาอยู่จนทุกวันนี้

 หลุมฝังศพของ จอห์น ริงโก้
อยู่ห่างจากใต้ต้นโอ๊คที่พบศพเพียงนิดเดียว
สาเหตุการตายของริงโก้
ยังเป็นปริศนาอยู่จนทุกวันนี้ 

ไอ๊ค์ แคลนตั้น โยกย้ายกิจการไร่ปศุสัตว์ของครอบครัวขึ้นเหนือไป 200 ไมล์ (320 ก.ม.) ตั้งรกรากใหม่อยู่ใกล้ๆเมือง สปริงเก้อร์วิลล์ (Springerville) ในมณฑลอปาชี่ (Apache County) ยังคงมีเรื่องให้ถูกกล่าวหาและจับกุมในข้อหาขโมยม้าหรือปล้นทรัพย์ รวมทั้งมีปากเสียงหาเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกับคนอื่นอย่างต่อเนื่อง หลังจากทราบข่าวการตายของ ด๊อค ฮอลลิเดย์ อดีตคู่กัดได้ไม่นาน ไอ๊ค์ก็ถูกนักสืบชื่อ โจนัส ไบรตั้น (Jonas Brighton) ยิงตายขณะกำลังวิ่งหนีเอาตัวรอด ในปี ค.ศ.1887 ศพของไอ๊ค์ถูกฝังไว้ใกล้ๆที่ตาย โดยไม่มีป้ายชื่อหรือคำจารึกใดๆปรากฏให้เห็น “ 


แผนที่รัฐอริโซน่า และรัฐใกล้เคียงในปัจจุบัน
แสดงตำแหน่งเมืองสำคัญต่างๆ
ตามลำดับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเรื่องนี้
1 เมืองทูมบ์สโตน  2 เมืองวิลค็อกซ์
3 เมืองทูซอน  4 เมืองกันนิสัน
5 เมืองยูม่า 6 เมือง สปริงเก้อร์วิลล์ 

" วายแอ็ท เอิ๊ร์ป ได้รับความช่วยเหลือจากเพื่อนสนิทและนักการเมืองพรรครีพับลิกัน ไม่ให้ต้องถูกส่งตัวกลับไปดำเนินคดีที่อริโซน่า ตัดสินใจหันหลังให้กับการเมือง แต่งงานกับ โจเซฟิน ซาร่าห์ มาร์คัส อดีตเมียเก็บของ จอห์นนี่ บีแฮน ใช้ชีวิตคู่ตระเวณแสวงหาโชคลาภในดินแดนตะวันตกแถบ ไอดาโฮ แคลิฟอร์เนีย เนวาด้า และไปไกลถึงอล้าสก้า ดำรงชีพด้วยรายได้จากการพนัน เปิดซาลูน และลงทุนในเหมืองแร่ ช่วงปลายของชีวิตจึงกลับมาปักหลักอยู่ด้วยกันที่เมือง ลอส แองเจลีส วายแอ็ทกลายเป็นที่ปรึกษาผู้กำกับภาพยนตร์ของฮอลลีวู้ด ในการสร้างหนังคาวบอยยุคแรกๆที่ยังไม่มีเสียงหลายเรื่อง และเสียชีวิตเป็นคนสุดท้ายของรุ่นด้วยโรคชรา เมื่อวันที่ 13 มกราคม ค.ศ.1929 ศพถูกนำไปทำพิธี และฝังไว้ที่เมืองโคลมา (Colma) ในแคลิฟอร์เนีย หลังงานศพไม่กี่วัน แผ่นหินจารึกชื่อและคำไว้อาลัยที่ปักไว้บนหลุมศพได้หายไปอย่างลึกลับ "


วายแอ็ท เอิ๊ร์ป (คนกลาง) ที่อลาสก้า
 เมื่อประมาณปี ค.ศ. 1900
 

เมืองทูซอน ทุกวันนี้เป็นเมืองใหญ่ลำดับที่สองของรัฐอริโซน่า มีประชากรราว 4 แสนคน ส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุเกษียณจากงาน ผู้ต้องการใช้บั้นปลายชีวิตอย่างเรียบง่าย ท่ามกลางอากาศบริสุทธิ์และไม่หนาวจัดหรือชื้นจนเกินไป บริเวณชานเมืองมีสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์ขนาดใหญ่ สร้างและตกแต่งเป็นเมืองคาวบอยทั้งเมือง ไว้สำหรับถ่ายทำหนังคาวบอยโดยเฉพาะ รวมทั้งเปิดให้นักท่องเที่ยวที่ต้องการสัมผัสบรรยากาศ และกลิ่นไอของเมืองคาวบอย เสียเงินเข้าชมได้ด้วย

โฉมหน้าของเมืองทูซอนในปัจจุบัน

 มุมหนึ่งจาก โอลด์ ทูซอน (Old Tucson)
สตูดิโอกลางแจ้งขนาดยักษ์ ออกแบบและสร้างขึ้นมา
เพื่อถ่ายทำหนังคาวบอยตะวันตกโดยเฉพาะ
อยู่กลางทะเลทราย ห่างจากเมืองทูซอนออกไปทาง
ทิศตะวันตกไม่กี่ไมล์ เปิดให้นักท่องเที่ยว
(เสียเงิน) เข้าสัมผัสบรรยากาศของ
ดิโอลด์เว้สท์ แบบดิบๆขนานแท้ได้เต็มที่ 

เมืองทูมบ์สโตน ได้รับฉายาว่า เมืองอึดไม่ยอมตาย (A town too tough to die) อยู่รอดมาจนถึงยุคปัจจุบัน ต่างไปจากเมืองอื่นๆหลายเมืองในศตวรรษที่ 19 ที่เกิดและบูมขึ้นเพราะธุรกิจเหมืองแร่ แต่พอสินแร่หมด ผู้คนก็พากันอพยพออก จนกลายเป็นเมืองร้างว่างเปล่าต้องยุบทิ้งไป ฮอลลีวู้ดสร้างหนังคาวบอยชื่อเดียวกับเมืองนี้ ออกฉายในปี ค.ศ.1993 กลายเป็นภาพยนตร์ยอดนิยม ฮิตติดอันดับบ๊อกซ์อ๊อฟฟิศทั้งในอเมริกา ยุโรป เอเชีย และ ออสเตรเลีย ตามมาด้วยเรื่อง วายแอ็ท เอิ๊ร์ป ทันทีในปีถัดไป เกิดกระแส วายแอ็ท เอิ๊ร์ป ฟีเว่อร์ และทำให้ โอเค คระราล เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก ผู้คนหลั่งไหลมาดูสถานที่จริง จนปัจจุบันกลายเป็นเมืองท่องเที่ยวสำคัญแห่งหนึ่งของรัฐอริโซน่า
 

 โฉมหน้าของเมืองทูมบ์สโตนในปัจจุบัน

โอเค คระราล ถูกไฟไหม้หลังจากเกิดอัคคีภัยครั้งใหญ่ขึ้นที่เมืองทูมบ์สโตนเมื่อปี ค.ศ.1882 จากนั้นถูกทิ้งร้างว่างเปล่าไม่มีใครสนใจมาจนถึงปี ค.ศ.1957 เมื่อฮอลลีวู้ดสร้างภาพยนตร์เรื่อง กันไฟ้ท์ แอ็ท เดอะ โอเค คระราล และนำออกฉาย จึงได้ถูกพัฒนาขึ้นเป็นแหล่งท่องเที่ยว มีห้องแสดงนิทรรศการ มีรูปปั้นของพวกเอิ๊ร์ปและพวกแคลนตั้นยืนเผชิญหน้าตั้งแสดงโชว์ไว้ ณ บริเวณที่เกิดการยิงกัน หลังจากภาพยนตร์เรื่องทูมบ์สโตนออกฉายในปี ค.ศ.1993 ก็ปรับปรุงบริเวณและหน้าตาให้ดึงดูดผู้ชมมากขึ้นอีก เพิ่มรายการแสดงสดจำลองเหตุการณ์ดวลกันเข้าไปให้ตื่นเต้นสะใจนักท่องเที่ยวด้วย

 สภาพของ โอเค คระราล หลังจากไฟไหม้ใหญ่
ที่เมืองทูมบ์สโตนเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม ค.ศ. 1882
ความที่น้ำเป็นของหายาก วิธีควบคุมไฟไม่ให้ลุกลาม
ที่ได้ผลที่สุดในสมัยนั้นก็คือ ใช้ดินระเบิดทำลายอาคาร
รอบๆบริเวณที่เกิดเพลิงไหม้ลงเสีย 

 โอเค คระราล ในช่วงต้นศตวรรษที่ 20
ถูกทิ้งร้างไว้ไม่มีผู้ใดสนใจ...

...จนมาถึงช่วงกลางทศวรรษ จึงได้ถูกบูรณะขึ้นใหม่ ให้
เป็นสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์และการท่องเที่ยว...
 

...ปัจจุบันทำรายได้ และช่วยพัฒนา
เมืองทูมบ์สโตนให้ทันสมัยขึ้นมาก
สังเกตเสาไฟฟ้า และสายไฟรกๆ
ถูกจับฝังลงใต้ดินหมดแล้ว 

สุดท้ายนี้ ยังมีเกร็ดเล็กน้อย ที่คอคาวบอยพันธุ์แท้ก็อาจจะพอเคยได้ยินกันมาบ้างแล้วนะครับว่า ที่เรียกต่อๆกันมาจนติดปากว่า กันไฟ้ท์ แอ็ท เดอะ โอเค คระราลนั้น ความจริงการดวลไม่ได้เกิดขึ้นที่โอเค คระราล หรือคอกม้าชื่อโอเคนี้สักหน่อย

หากจะเรียกให้ถูกต้องจริงๆควรเรียกว่า กันไฟ้ท์ เนียร์ เดอะ โอเค คระราลหรือ การดวลที่ใกล้ๆคอกโอเค ต่างหาก

หรือถ้าจะให้ถูกเผง ตามหลักฐานข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์อย่างเป็นทางการแล้ว ก็จะต้องเรียกว่า The Gunfight on the Vacant Half of Lot 2 of Tombstone City Block 17 Between Camillus Fly's Boarding House and Photography Shop and the House Owned by William Harwood

หรือแปลเป็นไทยให้ใกล้เคียงที่สุดได้ว่า การดวลปืนบนที่ดินเปล่า แปลงที่ยังว่างอยู่อีกครึ่งหนึ่ง ตามโฉนดหมายเลข 2 ในบล๊อกที่ 17 ของผังเมืองทูมบ์สโตน ระหว่างบ้านว่างให้เช่าพร้อมบริการอาหารและร้านถ่ายรูปของ คามิลลุส ฟลาย กับบ้านของ วิลเลี่ยม ฮาร์วู้ด

รูปปั้นพวกเอิ๊ร์ปและพวกแคลนตั้น
ขณะเข้าเผชิญหน้ากันตามตำแหน่งที่เกิดการยิงกัน
 “ระหว่างบ้านว่างให้เช่าพร้อมบริการอาหารและ
ร้านถ่ายรูปของ คามิลลุส ฟลาย
กับบ้านของ วิลเลี่ยม ฮาร์วู้ด” 

 หน้าตาร้านถ่ายรูปของ คามิลลุส ฟลาย
บนถนนฟรีม้องท์ในปัจจุบัน 

ท่านผู้อ่านสังเกตดูจากแผนที่บรรยายสถานการณ์ ที่ผมลงไว้ให้ดูตามผังประกอบข้างล่างนี้แล้ว คงจะเห็นตามข้อเท็จจริงตามที่อธิบายปิดท้ายนี้ได้ชัดเจนนะครับ ว่าอยู่ห่างกันตั้งเกือบ 200 ฟิต หรือร่วม 60 เมตร มีอาคารกั้นระหว่างกันอีกหลายหลัง

 แผนที่แสดงตำแหน่งที่ตั้งของ
โอเค คระราล บนถนนแอลเล็น
และบริเวณที่เกิดการดวลกัน
ตรงข้างๆถนนฟรีม้องท์

และท้ายที่สุด (เพื่อให้เป็นที่สุดของที่สุดจริงๆตามชื่อเรื่อง) บางท่านอาจจะตั้งข้อสงสัยว่า อ้าว เล่นปล่อยให้เข้าใจไปอีกอย่างมาได้ตั้งสองสามตอน แล้วเพิ่งจะมาบอกเอาตอนจบ ทำไม่ถึงไม่ตั้งชื่อเรื่องให้มันถูกต้องตรงกับรายละเอียดและข้อเท็จจริงตามที่ว่ามานี้เสียแต่แรกล่ะ...
 
คงจะต้องขออนุญาตตอบสั้นๆแต่เพียงว่า กลัวเดี๋ยวไม่มีใครอ่านครับ 


มาร์แชลต่อศักดิ์
ธันวาคม 2544