กันไฟ้ท์ แอ็ท เดอะ โอเค คระราล ที่สุดของที่สุดแห่งการดวล ตอน ถึงทีของแคลนตั้น (2/3)


ใน กันส์ เวิลด์ ไทยแลนด์ ฉบับก่อน เราได้ย้อนเวลากลับไป 120 ปี เพื่อติดตามดูการดวลปืนครั้งสำคัญที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม ค.ศ.1881 กันมาแล้วนะครับว่าตื่นเต้นดุเดือดขนาดไหน

ถึงแม้ผลการต่อสู้ที่ โอเค คระราล จะดูเหมือนว่าพวกแคลนตั้นพ่ายแพ้แก่พวกเอิ๊ร์ปอย่างหมดรูป  ทว่าในความเป็นจริงแล้ว เรื่องกลับไม่จบลงเพียงแค่นี้ สงครามเพิ่งจะเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการเท่านั้นเองครับ ฝ่ายแคลนตั้นถึงจะเสียหายยับเยินจากการปะทะกันก็จริง แต่ยังไม่ยอมเลิกราง่ายๆ

เรามาดูกันนะครับว่าเรื่องราวต่อไป ซึ่งผมจะขอเรียกเล่นๆว่าเป็นตอน แคลนตั้นสไตร๊ค์แบ๊ค ติดตามด้วย รีเทอร์น ออฟ ดิ เอิ๊ร์ป จะเป็นอย่างไร

ว่าแล้วก็อดที่จะออกนอกเรื่องอีกไม่ได้ ผมได้เคยเข้าไปดูเว็บไซ้ท์เกี่ยวกับหนังคาวบอยแห่งหนึ่งเมื่อไม่กี่วันก่อน พบว่าเขาจัดอันดับหนังคาวบอยยอดเยี่ยมที่สุดเอาไว้ 25 เรื่อง มีหนังเรื่อง สตาร์ วอรส์ ติดอยู่ด้วยเป็นอันดับที่ 17

โดยให้เหตุผลง่ายๆแต่ปฏิเสธยากว่า ความที่ จอร์จ ลูคัส ผู้สร้าง เป็นแฟนหนังคาวบอยตัวยงคนหนึ่ง จึงปั้นมือปืน ฮัน โซโล ขึ้นมาในสไตล์คาวบอยอวกาศ ใส่เสื้อกั๊กคาดเข็มขัดและชักปืนในรูปแบบคาวบอยสิงห์ปืนไวให้เป็นเอกลักษณ์ แถมมีฉากในบาร์เหล้าที่เต็มไปด้วยนักเลงต่างถิ่นมากมาย ตามด้วยการตีกันและยิงกันกลางบาร์ มันส์หยดไม่แพ้ที่เราเห็นกันในหนังคาวบอยเรื่องอื่นๆ 

อันนี้ก็เล่าสู่กันฟังสนุกๆนะครับ

หลังจากที่ ไอ๊ค์ แคลนตั้น พาผองเพื่อนคือ ทอมกับแฟร้งค์ แม็คลอรี่  และน้องชายของตัวคือบิลลี่ ไปให้พวกเอิ๊ร์ปยิงตายเกลี้ยงทั้งสามคนในการดวลที่คอกโอเค  โดยตัวเองวิ่งหนีเอาตัวรอดไปดื้อๆ แล้ว

เชอร์ริฟ จอห์นนี่ บีแฮน ซึ่งเป็นพวกเดียวกันกับไอ๊ค์และเป็นคู่ปรับทางการเมืองของ วายแอ็ท เอิ๊ร์ป ก็ออกหมายจับพี่น้องเอิ๊ร์ปทั้งสามและ ด๊อค ฮอลลิเดย์ เป็นผู้ต้องหาในคดีอาญา ข้อหาใช้อำนาจเกินขอบเขตและเจตนาฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน

วายแอ็ท เอิ๊ร์ป ผู้เผด็จศึก
ในการดวลที่ โอเค คระราล

ด๊อค ฮอลลิเดย์ มือปืน
และเพื่อนสนิทของ วายแอ็ท เอิ๊ร์ป
ผู้มีบทบาทสำคัญ
ในการดวลที่ โอเค คระราล 

ความจริงจอห์นนี่พยายามจะจับวายแอ็ททันทีตั้งแต่การยิงกันจบลงสดๆร้อนๆแล้วครับ แต่วายแอ็ทตอบสั้นๆเพียงว่า วันนี้ยังไม่ยอมให้จับ (มีอะไรมั้ย) จอห์นนี่ก็เลยตามใจไม่กล้าว่าอะไร ปล่อยให้วายแอ็ทจัดการส่งพี่น้องผู้บาดเจ็บคือเวอร์จิลกับมอร์แกน ให้หมอดูแลรักษาพยาบาลให้เรียบร้อยเสียก่อน

ส่วนฝ่ายแคลนตั้นก็ต้องวุ่นวายอยู่กับการจัดงานศพผู้เสียชีวิตทั้งสามเช่นกัน ยังไม่มีเวลาประท้วงหรือร้องเรียนอะไรกับใคร

เล่ากันว่า เมื่อเสียงปืนจากการยิงสิ้นสุดลง และผลออกมาว่าพวกแคลนตั้นถูกพวกเอิ๊ร์ปยิงตายเกือบหมด ก็มีทั้งเสียงปรบมือไชโย และเสียงโห่ก่นด่าใส่ฝ่ายเจ้าหน้าที่ (คือพวกเอิ๊ร์ป นำโดยเวอร์จิลในฐานะซิตี้มาร์แชล) ดังออกมาจากชาวบ้านที่เฝ้าดูเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นเท่าๆกัน

อย่างที่เคยกล่าวไปแล้วในตอนก่อนครับว่า ชาวบ้านเองก็แบ่งเป็นสองขั้วสองฝ่าย มีทั้งเกลียดแคลนตั้นนิยมเอิ๊ร์ป และนิยมแคลนตั้นเกลียดเอิ๊ร์ป

หลายคนมองเห็นว่า พวกแคลนตั้นขัดขืนการจับกุม ยิงเข้าใส่ฝ่ายเจ้าหน้าที่ก่อน ขณะที่อีกหลายคนมองเห็นว่าพวกเอิ๊ร์ปรุมทำวิสามัญ ยิงเข้าใส่พวกแคลนตั้นทั้งๆที่ยกมือยอมแพ้ไม่สู้แล้ว

หนังสือพิมพ์ประจำเมืองทั้งสองฉบับ ต่างก็ประโคมเล่นข่าวเชียร์ฝ่ายของตัว ด่าฝ่ายตรงข้ามกันสนุกใหญ่

หนังสือพิมพ์เอพิแทฟ ซึ่งเป็นกระบอกเสียงพรรครีพับลิกันและสนับสนุนพวกเอิ๊ร์ป ลงบทความสรรเสริญการกระทำของเจ้าหน้าที่ และตบท้ายว่าความสงบเรียบร้อยได้กลับมาสู่บ้านเมืองอีกครั้งหนึ่ง

สำนักงานหนังสือพิมพ์ เดอะ ทูมบ์สโตน เอพิแทฟ
กระบอกเสียงของฝ่ายเอิ๊ร์ป
ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่  1 พฤษภาคม ค.ศ. 1880
ภาพนี้ถ่ายเมื่อหนังสือพิมพ์มีอายุครบ 100 ปี
ในปี ค.ศ. 1980 

ส่วนหนังสือพิมพ์นักเก็ต ก็ลงข่าวประณามการกระทำอันโหดร้าย ใช้ความรุนแรงและเอาเปรียบผู้ไม่มีทางสู้ (ถ้าเป็นสมัยนี้คงโดนข้อหาละเมิดสิทธิมนุษยชนเข้าไปด้วย)

ไอ๊ค์ แคลนตั้น ยังคงไว้ซึ่งความถนัดในการเป็นโฆษกปากพาจน หาเรื่องให้คนอื่นเหนื่อยแทนตัวเองเช่นเดิม หนนี้ลงทุนถึงขนาดเอาคนตายแล้วมาใช้เป็นเครื่องมือ

ไอ๊ค์ แคลนตั้น
สูญเสียเพื่อนพ้อง
และน้องชาย
ไปในการดวลกับพวก
พี่น้องเอิ๊ร์ป และ
ด๊อค ฮอลลิเดย์
ที่ โอเค คระราล
ตัวเองวิ่งหนีเอาชีวิตรอด 

นั่นคือ แทนที่จะรีบจัดทำพิธีศพเพื่อนกับน้องให้เรียบร้อยโดยเร็ว กลับเอาศพของทอม แฟร้งค์ และบิลลี่มาแต่งองค์ทรงเครื่องย่างเก๋ที่สุด แล้ววางโชว์ไว้ที่หน้าต่างร้านขายของแห่งหนึ่งให้คนเดินผ่านไปมาดู มีป้ายเขียนกำกับไว้ข้างบนตัวโตว่า ถูกฆาตกรรมกลางถนนในทูมบ์สโตน

เรียกว่า ตายแล้วก็ยังไม่วายต้องรับใช้กันต่อ

งานศพของทั้งสามจัดขึ้นอย่างโก้หรูหราในตอนบ่ายของวันที่ 28 ตุลาคม ค.ศ.1881 ใช้โลงศพอย่างดีตกแต่งด้วยคิ้วขลิบเงิน มีแตรวงบรรเลงนำขบวน ตามมาด้วยขบวนรถม้าบรรทุกโลงศพคันละโลง และรถม้าของบรรดาญาติพี่น้อง รวมขบวนรถกว่า 20 คัน ไม่นับขบวนม้าและคนเดินเท้าร่วมขบวนอีกไม่ต่ำกว่า 300 คน

ทุกศพถูกฝังไว้ที่สุสานบู๊ทฮิลล์ (Boothill Graveyard) บริเวณชานเมือง

ศพผู้เสียชีวิตจากการดวลที่ โอเค คระราล
จากซ้าย ทอม แม็คลอรี่  ถัดมา แฟร้งค์ แม็คลอรี่
และขวาสุด บิลลี่ แคลนตั้น
ได้รับการตกแต่งอย่างดีก่อนนำไปวางโชว์ไว้ในเมือง 

วายแอ็ทและด๊อคถูกจับตัวไปคุมขังในวันรุ่งขึ้น ส่วนเวอร์จิลและมอร์แกนได้รับการยกเว้นไม่ต้องถูกควบคุมตัว เนื่องจากยังบาดเจ็บสาหัสต้องนอนพักรักษาตัวอยู่บนเตียง

 เชอร์ริฟ จอห์นนี่ บีแฮน
ผู้สนับสนุนฝ่ายแคลนตั้น
และคู่แข่งทางการเมืองของ
วายแอ็ท เอิ๊ร์ป
จอห์นนี่ใช้ความรอบจัด
ทางการเมืองคอยช่วยเหลือ
ไอ๊ค์ แคลนตั้น
ในการต่อกรกับวายแอ็ท
ขณะเดียวกันก็สกัดกั้น
ไม่ให้วายแอ็ทได้เติบโต
ทางการเมืองไปด้วย 

ศาลออกนั่งบัลลังก์พิจารณาคดีเมื่อวันที่ 31 ตุลาคม ค.ศ.1881 อัยการผู้เป็นโจทก์และทนายจำเลย ทำการสอบพยานที่เกี่ยวข้องและเห็นเหตุการณ์ รวมกันประมาณ 30 คน ใช้เวลาทั้งหมดร่วมยี่สิบกว่าวัน โดยฝ่ายโจทก์ขึ้นให้การก่อน

ลองฟังคำให้การส่วนหนึ่งของ ไอ๊ค์ แคลนตั้น ซึ่งถือว่าเป็นพยานคนสำคัญของฝ่ายโจทก์ดูนะครับ ว่าเป็นอย่างไรบ้าง (ทั้งหมดคัดลอกและแปลมาจากบันทึกคำให้การในศาลโดยตรง คำต่อคำ ไม่มีการดัดแปลงหรือปรุงแต่งอะไรทั้งสิ้น เรียกว่าของแท้ล้วนๆเลยครับ)

“….พวกเราพบกับเชอร์ริฟ เขาบอกว่าจะต้องจับพวกเราปลดอาวุธ ผมบอกว่าเรากำลังจะออกไปจากเมือง และผมไม่มีอาวุธ เขาจึงพูดกับบิลลี่น้องชายผมว่าให้นำอาวุธไปไว้ที่ห้องทำงานของเขา บิลลี่บอกว่ากำลังจะออกไปจากเมือง เชอร์ริฟหันไปหาแฟร้งค์กับทอม แม็คลอรี่ บอกว่าให้ส่งอาวุธมา ทอมเปิดเสื้อโค้ตออกพูดว่า จอห์นนี่ ผมไม่มีอะไร แฟร้งค์พูดว่า ผมกำลังจะออกจากเมือง และผมจะไม่ทิ้งอาวุธจนกว่าพวกเอิ๊ร์ปจะทิ้ง ผมมีธุระต้องทำให้เสร็จก่อนแล้วผมก็จะไป ถึงตอนนี้ ด๊อค ฮอลลิเดย์ กับพวกเอิ๊ร์ปก็โผล่ขึ้นที่ทางเท้า เชอร์ริฟเดินไปหาพวกนั้น บอกกับพวกนั้นว่าควบคุมพวกเราได้แล้ว พวกนั้นเดินเลยเข้ามายังพวกเรา ผมก้าวออกไปหา วายแอ็ท เอิ๊ร์ป เขาจิ้มปืนหกนัดเข้าที่ผมแล้วพูดว่า ยกมือขึ้น! มาร์แชลเองก็สั่งให้ทุกคนยกมือขึ้นเช่นกัน แฟร้งค์ แม็คลอรี่ กับ บิลลี่ แคลนตั้น ยกมือขึ้น ทอม แม็คลอรี่ เปิดเสื้อโค้ตออกและพูดว่าผมไม่มีอะไร พวกนั้นพูดว่า แกไอ้พวกลูกไม่มีพ่อมาที่นี่เพื่อจะหาเรื่อง ขณะเดียวกัน ด๊อค ฮอลลิเดย์ และ มอร์แกน เอิ๊ร์ป ก็ยิง มอร์แกนยิงใส่ บิลลี่ แคลนตั้น และผมไม่รู้ว่าใครอีก ผมเห็นเวอร์จิลยิงพร้อมๆกัน ผมรวบ วายแอ็ท เอิ๊ร์ป ไว้และดันเขาออกไป จากนั้นก็วิ่งเข้าไปในร้านถ่ายรูปออกไปอีกข้าง เป็นเวลาเดียวกันกับที่ผมเห็นบิลลี่ล้มลง

พวกเราต่างยกมือขึ้นแล้วทุกคน ยกเว้น ทอม แม็คลอรี่ เท่านั้นที่เปิดเสื้อโค้ตออกและบอกว่าไม่มีอะไร ก่อนหน้านี้ผมเคยมีเรื่องกับพวกเอิ๊ร์ป แต่เพื่อนๆคนอื่นๆไม่ได้มีอะไร ด๊อค ฮอลลิเดย์ เคยหาว่าผมเอาชื่อเขาไปใช้ แต่ผมบอกว่าเปล่า ผมไม่เคยทำอะไรให้พวกเอิ๊ร์ปเดือดร้อนเลย พวกเขาไม่ชอบผม  เราเคยมีการติดต่อกัน ผมกับพวกเอิ๊ร์ป ผมไม่เห็นพวกแคลนตั้นหรือแม็คลอรี่ขู่เอาชีวิตพวกเอิ๊ร์ปในวันนั้น ผมเองก็ไม่ได้ทำ.. 

ภาพบรรยายเหตุการณ์ยิงกันที่ โอเค คระราล
ตามคำให้การของฝ่ายแคลนตั้น
ที่ว่าพวกตนยกมือยอมแพ้แล้ว
แต่ถูกพวกเอิ๊ร์ปรุมทำวิสามัญอย่างเลือดเย็น 

เชอร์ริฟ จอห์นนี่ บีแฮน ให้การในฐานะพยานฝ่ายโจทก์เหมือนกัน (แน่นอน) มีใจความสำคัญๆดังนี้

“….ผมเดินไปตามถนนสายสี่ มุ่งไปยังหัวมุมถนนฟรีม้องท์ พบ แฟร้งค์ แม็คลอรี่ จับม้ายืนพูดอยู่กับใครคนหนึ่ง ผมทักทายเขา บอกว่าผมจำเป็นต้องปลดอาวุธเขา ไม่งั้นอาจเกิดเรื่องเดือดร้อนขึ้นในเมืองได้ ผมเสนอด้วยว่าจะปลดอาวุธทุกคนที่พกอาวุธในเมือง เขาปฏิเสธที่จะมอบอาวุธให้ผม บอกว่าเขาไม่ได้ตั้งใจจะก่อความเดือดร้อนให้ใคร ผมบอกเขาว่าต้องส่งปืนพกให้ผม ผมอาจพูดว่าปืนเฉยๆ เหมือนกันนั่นแหละ จะปืนเฉยๆหรือปืนพกมันก็ไม่ต่างกันหรอก ราวๆนั้นผมเห็น ไอ๊ค์ แคลนตั้น และ ทอม แม็คลอรี่ บนถนนตรงข้างร้านถ่ายรูปของฟลาย ผมบอกแฟร้งค์ว่า ตามผมมา เราเดินไปยังที่ๆ ไอ๊ค์ แคลนตั้น กับ ทอม แม็คลอรี่ ยืนอยู่ ผมบอกกับพวกเขาทุกคนว่า พวกนายต้องทิ้งอาวุธ! ผมบอก บิลลี่ แคลนตั้น กับ วิล เคลย์บอร์น ว่า ไอ้หนุ่ม พวกนายต้องทิ้งอาวุธ แฟร้งค์ แม็คลอรี่ ไม่ยอม ผมจำไม่ได้แน่ชัดว่าเขาพูดว่าอย่างไร เขาดูไม่ค่อยอยากจะทำตาม ไอ๊ค์บอกผมว่าไม่มีอาวุธ ผมค้นตัวเขาที่เอวเพื่อจะดูว่ามีอาวุธหรือเปล่า แต่ไม่เจออะไร ทอม แม็คลอรี่เปิดเสื้อโค้ตให้ผมดูว่าไม่มีอาวุธ ผมเห็นพวกเขายืนอยู่ด้วยกันห้าคน ก็เลยถามไปว่าพวกนายมีกันกี่คน พวกเขาตอบว่าสี่ ไอ้หนุ่มเคลย์บอร์นคนนี้ไม่ได้มาด้วยกัน……

ผมเห็นพวกเอิ๊ร์ปกับฮอลลิเดย์เดินเข้ามา.ผมบอกพวกแคลนตั้นว่ารอเดี๋ยว ผมจะไปหยุดพวกนั้นไว้..พวกนั้นเดินผ่านผมไป ผมเดินตามมาห่างสักประมาณสองก้าว พยายามจะยับยั้งพวกเขาไว้ตลอดทาง พอพวกเขาไปถึงตรงที่ๆพวกแคลนตั้นกับแม็คลอรี่ยืนอยู่ ผมก็ได้ยินคนหนึ่ง ผมคิดว่าเป็น วายแอ็ท เอิ๊ร์ป พูดว่า แกไอ้พวกลูกไม่มีพ่อคอยจ้องแต่จะหาเรื่องมาตลอด บัดนี้ถึงเวลาแล้ว พร้อมๆกันผมก็ได้ยินเสียงพูดว่า ยกมือขึ้น ในเวลาเดียวกันนั้นผมเห็นปืนพกชุบนิคเกิ้ลกระบอกหนึ่งชี้ไปยังพวกแคลนตั้น คิดว่าเป็นบิลลี่..ผมได้ยินบิลลี่พูดว่า อย่ายิงผม ผมไม่ต้องการสู้ ขณะเดียวกัน ทอม แม็คลอรี่ เปิดเสื้อโค้ตออกบอกว่า ผมไม่มีอะไร หรือไม่ก็ ผมไม่มีอาวุธ..

ปืนกระบอกแรกที่ยิงคือปืนพกชุบนิคเกิ้ลกระบอกนั้น จากนั้นอีกกระบอกหนึ่งก็ยิงตามทันที สองนัดนี้ไม่ได้มาจากปืนกระบอกเดียวกัน มันใกล้กันมากเกินกว่าที่จะยิงออกมาจากกระบอกเดียวกันได้ ปืนพกชุบนิคเกิ้ลยิงโดยคนที่สองจากขวา นัดที่สองมาจากคนที่สามจากขวา จากนั้นต่างก็ยิงกันใหญ่. 

พยานโจทก์ที่เหลือ ก็ให้การคล้ายๆกัน สรุปสั้นๆได้ว่า ทุกคนเห็นว่าฝ่ายแคลนตั้นยกมือยอมแพ้หมดแล้ว แต่ยังถูกพวกเอิ๊ร์ปยิงเอาอย่างตั้งใจ 

“ปืนพกชุบนิคเกิ้ล” ตามคำให้การในศาล
ของ เชอร์ริฟ จอห์นนี่ บีแฮน น่าจะหมายถึงปืน
โค้ลท์ เนวี่ ของ ด๊อค ฮอลลิเดย์
หน้าตาตามตัวอย่างในภาพ
โค้ลท์รุ่นนี้ผลิตออกมาในช่วงระหว่าง
ปี ค.ศ. 1873-1875 โดยนำปืนรุ่น 1851 เนวี่
มาดัดแปลง จากเดิมบรรจุกระสุนแบบ
อัดดินดำขนาด .36 เปลี่ยนมาใช้
กระสุนชนวนกลางขนาด .38 กระบอกที่เห็นนี้
ลำตัวปืนชุบนิคเกิ้ล มือจับเป็นด้ามงา 

จากนั้น จำเลยและพยานก็ขึ้นให้การบ้าง โดยมี วายแอ็ท เอิ๊ร์ป เป็นคนแรก

และด้วยวิธีการกับลีลาที่ไม่เหมือนใคร วายแอ็ทหยิบเอกสารขึ้นมาปึกหนึ่ง เปิดออกอ่านให้ศาลฟัง (ส่วนจะทำเสียงสั่นเครือ ตาแดงขนาดไหนน้ำหูน้ำตาไหลด้วยหรือเปล่ารายงานข่าวไม่ได้บันทึกไว้) เรามาฟังกันเฉพาะตอนสำคัญๆก็พอนะครับ

“.... เวอร์จิลพูดว่า ยกมือขึ้น ฉันมาเพื่อปลดอาวุธพวกนาย บิลลี่ แคลนตั้น กับ แฟร้งค์ แม็คลอรี่ ขยับมือมาที่ปืน เวอร์จิลพูดว่า ช้าก่อน ฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น ฉันมาเพื่อปลดอาวุธพวกนาย พวกเขา---บิลลี่ แคลนตั้น กับ แฟร้งค์ แม็คลอรี่ ชักปืนออกมา ในขณะเดียวกัน ทอม แม็คลอรี่ ก็เหวี่ยงมือไปที่สะโพกขวาและกระโดดไปอยู่ข้างหลังม้า ผมเก็บปืนไว้ในกระเป๋าเสื้อโอเว่อร์โค้ต หลังจากจอห์นนี่บอกพวกเราว่าได้ปลดอาวุธพวกนั้นแล้ว ผมชักปืนเมื่อเห็นว่าบิลลี่และแฟร้งค์ชักปืน บิลลี่ยกปืนชี้มาที่ผม แต่ผมไม่ได้เล็งที่เขา ผมได้ยินคำร่ำลือว่า แฟร้งค์ แม็คลอรี่ เป็นมือปืนที่แม่นและอันตราย ผมจึงเล็งไปที่ แฟร้งค์ แม็คลอรี่ สองนัดแรกยิงมาจาก บิลลี่ แคลนตั้น และผม เขายิงผมและผมยิง แฟร้งค์ แม็คลอรี่ ผมไม่รู้ว่าใครยิงก่อน เรายิงเกือบจะพร้อมๆกัน จากนั้นทุกคนก็ยิงกันใหญ่ หลังจากยิงกันไปสี่นัด ไอ๊ค์ แคลนตันวิ่งมารวบแขนผมไว้ ผมเห็นได้ว่าเขาไม่มีอาวุธในมือและคิดว่าคงจะไม่มีแน่ๆ จึงบอกเขาไปว่า การต่อสู้เริ่มขึ้นแล้ว สู้ซิ หรือไม่ก็ไปให้พ้นเสีย พร้อมกับยันกลับไปด้วยมือซ้าย เขาวิ่งหายเข้าไปข้างๆตึก ระว่างบ้านเช่ากับร้านถ่ายรูป กระสุนนัดแรกของผมโดน แฟร้งค์ แม็คลอรี่เข้าที่หน้าท้อง เขายิงตอบผมก่อนจะเดินโซเซขึ้นไปบนทางเท้า ตอนที่เราบอกทุกคนให้ยกมือขึ้น เคลย์บอร์นยกมือซ้ายขึ้นค้างไว้แล้ววิ่งหนีไป ผมไม่เห็นเขาอีกเลยตลอดบ่ายนั้น มาเห็นอีกทีก็เมื่อการต่อสู้จบลงแล้ว ผมไม่ได้ชักปืนหรือเคลื่อนไหวเพื่อจะยิงจนกระทั่งเห็น บิลลี่ แคลนตั้น และ แฟร้งค์ แม็คลอรี่ ชักปืน ผมไม่รู้ถ้าหาก ทอม แม็คลอรี่ ไม่มีอาวุธ ผมเชื่อว่าเขามีและยิงใส่พวกเราสองนัด ก่อนที่ ด๊อค ฮอลลิเดย์จะยิงเขาตายด้วยปืนลูกซอง....” 

ภาพบรรยายเหตุการณ์ยิงกันที่ โอเค คระราล
ตามคำให้การของฝ่ายเอิ๊ร์ป
ที่ว่าพวกแคลนตั้นชักปืนขัดขืนการจับกุม
และยิงเข้าใส่เจ้าหน้าที่ก่อน
 

ในตอนท้ายของคำให้การ วายแอ็ทยังได้นำหนังสือฉบับหนึ่ง ลงนามโดยข้าราชการ พ่อค้า และประชาชนอาวุโส (มีคนนึงเป็นหมอด้วยครับ ไม่รู้ว่าเป็นตัวการล่ารายชื่อเองหรือเปล่า) หลายสิบคนของเมือง ด๊อดจ์ ซิตี้

มีใจความสรุปได้ว่า พวกเราต่างรู้จักคุ้นเคยกับ วายแอ็ท เอิ๊ร์ป เป็นอย่างดี ขอรับรองว่า วายแอ็ทเคยดำรงตำแหน่งมาร์แชลอยู่ที่เมือง ด๊อดจ์ ซิตี้ ในปี 1877, 1878 และ 1879 ตลอดเวลาที่อยู่ที่นี่ได้ดำรงตนอยู่ในสถานะอันสูงส่ง เป็นที่นับถือและเห็นได้ว่าเป็นผู้มีจิตใจสูง เป็นราษฎรผู้มีเกียรติ ในฐานะมาร์แชลได้ปฏิบัติหน้าที่อย่างรอบคอบ มีอัธยาศัย กล้าหาญ ไม่เคยท้อถอย และพิสูจน์ตัวเองแล้วว่าทำตัวได้ถูกต้องในทุกเหตุการณ์ เราไม่เชื่อว่าวายแอ็ทจะเอาชีวิตของผู้อื่นนอกเสียจากว่าต้องทำตามหน้าที่ และร้องขอมายังชาวเมืองทูมบ์สโตน โปรดพิจารณาคดีนี้อย่างรอบคอบเที่ยงธรรม ให้โอกาสเขาพิสูจน์ตัวเองด้วยว่าไม่มีความผิด” 

อันนี้จะถือว่าเป็นการกดดันศาลหรือเปล่าก็ไม่รู้นะครับ

พยานจำเลยคนอื่นๆ (แน่นอนอีกเหมือนกัน) ก็ให้การไม่แตกต่างนัก สรุปสั้นๆได้ว่า ทุกคนเห็นพวกแคลนตั้นชักปืนขัดขืนการจับกุม และยิงเข้าใส่เจ้าหน้าที่ก่อน

นอกจากนั้นก็มีพยานที่ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดอีกจำนวนหนึ่ง ให้การแบบไม่เข้าข้างใคร ต่างบอกว่า ไม่รู้ใครเริ่มยิงก่อน นึกไม่ออกจริงๆ ดูเหมือนต่างฝ่ายต่างตั้งใจจะมายิงกันอยู่แล้ว และเริ่มยิงพร้อมๆกันนั่นแหละ

สรุปคำให้การ หลังจากสอบพยานหมดทุกปากแล้ว เกือบร้อยละห้าสิบบอกว่าเห็นพวกเอิ๊ร์ปยิงก่อน อีกเกือบร้อยละห้าสิบบอกว่าเห็นพวกแคลนตั้นยิงก่อน นอกนั้นงดออกเสียง

งานนี้เลยไม่มีเสียงข้างมากเอาไว้ใช้อ้างว่า ประชาชนส่วนใหญ่สนับสนุนผม คุณมันแค่เสียงข้างน้อย ไปพักผ่อนเสียดีกว่า (หรืออะไรแบบนั้น)

ระหว่างการสืบพยานนี้ เล่ากันว่า ทั้งอัยการและทนายจำเลย ต่างงัดกลยุทธ์ออกมาฟาดฟันกันอย่างเต็มที่ พยายามที่จะหักล้างความน่าเชื่อถือของอีกฝ่ายให้ได้มากที่สุด มากกว่าจะพยายามซักรายละเอียดให้ได้ข้อเท็จจริง (ซึ่งดูเหมือนจะไม่มี เพราะสุดท้ายแล้ว พยานทั้งสองข้างต่างให้การหักล้างกันเองจนหมดเกลี้ยง จนไม่รู้ว่าอะไรเท็จอะไรจริง)

คำถามมีตั้งแต่ว่า ก่อนเห็นเหตุการณ์ พยานกินเหล้าไปกี่แก้ว พยานเคยถูกจับหรือต้องโทษคดีอาญามาก่อนมั้ย พยานเอาสติและสมาธิที่ไหนมานั่งดูนั่งจำว่าใครยิงถูกใคร ทั้งๆที่เสียงปืนดังแสบแก้วหู ลูกปืนบินว่อนทั่วไปหมด

แต่ที่ฮากันที่สุด เห็นจะหนีไม่พ้นตอนที่ทนายของวายแอ็ท ซัก บิลลี่ เคลย์บอร์น ลูกหาบของฝ่ายแคลนตั้นผู้อยู่ร่วมในเหตุการณ์ แต่วิ่งหนีหายตัวไปเสียตั้งแต่ไม่ทันจะเริ่มยิงกันว่า พยานทราบมั้ยว่า ปีนี้ตัวเองสูงขึ้นจากปีที่แล้วเท่าไหร่

บิลลี่ (ซึ่งขณะนั้นอายุประมาณยี่สิบแล้ว) ตอบด้วยเสียงดังฟังชัดอย่างมั่นใจเต็มที่ว่า เกือบสองฟุต

ผู้พิพากษาในคดีนี้ มีนามว่า เวลส์ สไปเซอร์ (Wells Spicer) เป็นผู้ที่ทุกฝ่ายต่างให้การยอมรับว่าแม่นข้อกฎหมาย และดำรงไว้ซึ่งความยุติธรรม ไม่เคยมีประวัติด่างพร้อย

หลังจากที่รับฟังการเบิกความ ตรวจสอบหลักฐานและคำให้การจากทุกฝ่ายฝ่ายจนครบถ้วนแล้ว ก็เขียนคำวินิจฉัยส่วนตัว (โดยไม่ต้องสนใจคำวินิจฉัยส่วนรวม เพราะมีคนเดียว) และออกนั่งบัลลังก์แถลงผลการตัดสินคดี ในวันที่ 1 ธันวาคม ค.ศ.1881

คำวินิจฉัยสรุปใจความสำคัญได้ว่า “ทุกฝ่ายต่างเห็น ไอ๊ค์ แคลนตัน มีเรื่องทะเลาะรุนแรงกับ ด๊อค ฮอลลิเดย์ ถึงถูกขู่เอาชีวิตมาตั้งแต่คืนก่อน เช้าวันเกิดเหตุไอ๊ค์ยังได้ติดอาวุธและแสดงความอาฆาตแค้นด๊อคกับพวกเอิ๊ร์ปให้สาธารณชนเห็นประจักษ์ทั่วไป หลังจากถูกจับแล้วก็มีปากเสียงรุนแรงกับวายแอ็ทด้วยอีกในศาล เมื่อไอ๊ค์ออกจากศาลแล้วได้แวะไปสมทบกับพรรคพวกอีก 4 คน ที่ร้านปืน จากนั้นไอ๊ค์และพรรคพวกจึงเดินทางไปชุมนุมกันที่จุดเกิดเหตุ ขณะที่พวกเอิ๊ร์ปทราบความเคลื่อนไหวนี้โดยตลอด

ศาลเห็นว่า เวอร์จิล เอิ๊ร์ป ได้ปฏิบัติตามหน้าที่ของตนอย่างเคร่งครัดในฐานะซิตี้มาร์แชล เพื่อป้องกันเหตุร้ายและรักษาความสงบเรียบร้อย ด้วยการตามไปจับกุมและปลดอาวุธไอ๊ค์กับพรรคพวก แต่ถือว่าเวอร์จิลมีความบกพร่อง ที่นำ ด๊อค ฮอลลิเดย์ ผู้มีเรื่องเกลียดชังกับ ไอ๊ค์ แคลนตั้น รุนแรงถึงขนาดจะเอาชีวิตกันเมื่อคืนก่อน และวายแอ็ท ผู้เพิ่งจบการวิวาทกับไอ๊ค์ติดตามไปด้วย โดยไม่คำนึงว่าอาจเป็นชนวนให้เกิดเหตุร้ายได้ อย่างไรก็ตามหากพิจารณาในอีกแง่มุมหนึ่ง ถึงความอาฆาตแค้นที่ ไอ๊ค์ แคลนตั้น ได้แสดงต่อพวกเอิ๊ร์ปอย่างชัดแจ้งในขณะนั้น บวกกับข้อเท็จจริงว่า ไอ๊ค์มีสมรรคพรรคพวกชุมนุมร่วมกันอยู่หลายคนและเพิ่งออกมาจากร้านปืน ทำให้ศาลเห็นใจว่า เวอร์จิลจำเป็นที่จะต้องหาผู้มีฝีมือและไว้วางใจได้อีกจำนวนหนึ่ง ติดตามไปช่วยเหลือด้วยเพื่อป้องกันชีวิตของตนเอง ซึ่งในเวลานั้นมีแต่เพียงวายแอ็ท มอร์แกน และด๊อคเท่านั้น และโดยนิตินัยถือว่าทั้งสามมีสถานภาพเป็นเจ้าหน้าที่โดยสมบูรณ์

จากคำให้การของเชอร์ริฟ จอห์น บีแฮน และหลักฐานในภายหลังยืนยันได้ว่า อย่างน้อย แฟร้งค์ แม็คลอรี่ และ บิลลี่ แคลนตั้น มีอาวุธ ยิ่งกว่านั้น แฟร้งค์ แม็คลอรี่ ได้แสดงเจตนาชัดเจนว่าจะขัดขืนการจับกุมด้วยการปฏิเสธไม่ยอมส่งมอบอาวุธ และยังบอกกับเชอร์ริฟด้วยว่า ให้ไปปลดอาวุธพวกเอิ๊ร์ปก่อน ส่วน ทอม แม็คลอรี่ จะมีอาวุธหรือไม่นั้นคงสรุปไม่ได้ แต่ศาลเห็นว่า หาก ทอม แม็คลอรี่ ไม่ต้องการเผชิญหน้ากับเจ้าหน้าที่ ก็ไม่ควรเข้าร่วมชุมนุมอยู่กับผู้อื่นที่พกอาวุธและมีความตั้งใจว่าจะขัดขืนการจับกุมของเจ้าหน้าที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งแฟร้งค์และบิลลี่ ผู้ซึ่งในที่สุดได้ทำการต่อสู้ด้วยอาวุธอย่างเต็มความสามารถ จนทำให้เวอร์จิลและมอร์แกนบาดเจ็บสาหัส

ตามคำให้การของ ไอ๊ค์ แคลนตั้น ที่ว่าได้วิ่งไปเข้าไปหาและยึดมือ วายแอ็ท เอิ๊ร์ป ไว้หลังจากเริ่มยิงกัน จากนั้นก็วิ่งหนีออกจากเหตุการณ์ไปโดยปลอดภัยนั้น ทำให้เห็นได้ว่า วายแอ็ทมิได้มีเจตนาจะเอาชีวิตของไอ๊ค์ตามข้อกล่าวหา เพราะหากวายแอ็ทมีเจตนาจริงก็สามารถที่จะยิงไอ๊ค์ทิ้งเสียในเวลานั้นได้ไม่ยาก 

ส่วนข้อเท็จจริงที่ว่า ฝ่ายแคลนตั้นได้ยกมือยอมแพ้ก่อนหรือไม่นั้น เนื่องจากพยานผู้น่าเชื่อถือกลุ่มหนึ่งยืนยันว่าเห็นผู้ตายยอมแพ้แต่โดยดีตั้งแต่แรก ในขณะที่พยานผู้น่าเชื่อถือเท่าๆกันอีกกลุ่มหนึ่งก็ยืนยันว่า เห็นผู้ตายชักปืนขึ้นต่อสู้ ศาลจึงจำเป็นต้องรับฟังเฉพาะพยานผู้ที่ไม่รู้จักมักคุ้นกับทั้งสองฝ่ายเท่านั้น นั่นคือ อัดดี บอร์แลนด์ (Addie Borland) ผู้ให้การว่า ไม่สามารถบอกได้ว่าฝ่ายใดยิงก่อน ทั้งสองฝ่ายเริ่มยิงพร้อมๆกันเมื่อพวกเอิ๊ร์ปโผล่เข้ามา ไม่มีการยกมือ มิฉะนั้นก็จะต้องเห็น และ เอช. เอฟ. ซิลส์ (H.F. Sills) เป็นอีกผู้หนึ่งที่ยืนยันว่า ทั้งสองฝ่ายต่างยิงพร้อมๆกัน ไม่สามารถบอกได้ว่าฝ่ายไหนเริ่มก่อน

ศาลยังให้น้ำหนักกับคำให้การและหลักฐานอื่นที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ตรงช่วงนี้ด้วย นั่นคือฝ่ายโจทก์ยืนยันว่า ผู้ตายถูกยิงในขณะที่ยกมือขึ้นยอมแพ้โดยดี ส่วนฝ่ายจำเลยยืนยันว่า บิลลี่ แคลนตั้น และ ทอม แม็คลอรี่ ต่างชักปืนขึ้นต่อสู้และยิงพร้อมๆกันกับจำเลย จากการชันสูตรพบว่าศพของบิลลี่ถูกยิงที่ข้อมือขวาด้วยหนึ่งนัด ดังนั้นจึงไม่น่าเป็นไปได้ว่าบิลลี่จะถูกยิงขณะยกมือขึ้น ฝ่ายโจทก์ยืนยันอีกด้วยว่า บิลลี่ แคลนตั้น ถูกจ่อยิงในระยะเพียงหนึ่งฟุต แต่การชันสูตรกลับไม่พบคราบดินปืนบนเสื้อผ้าเลย

จากข้อพิจารณาดังกล่าวทั้งหมดศาลมีความเห็นว่า จำเลยในฐานะเจ้าหน้าที่ของรัฐได้ปฎิบัติหน้าที่ตามสมควรแก่เหตุ และไม่มีหลักฐานเพียงพอที่จะเชื่อว่าฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาและไตร่ตรองไว้ก่อน จึงตัดสินว่าจำเลยไม่มีความผิดตามข้อกล่าวหา” 

มาถึงตรงนี้ ผมเพิ่งนึกได้ว่าลืมเล่ารายละเอียดไปนิดนึงครับ แต่คงไม่ช้าไปที่จะบอกตรงนี้ว่า ผู้พิพากษา เวลส์ สไปเซอร์ นี้ เป็นเพื่อนคนหนึ่งของ วายแอ็ท เอิ๊ร์ป

ส่วนจะเคยรับเงินสนับสนุนจากวายแอ็ทมาจัดงานเลี้ยงสังสรรค์ หรือเคยฝากลูกให้วายแอ็ทรับไปทำงานอะไรที่ไหนด้วยหรือเปล่า ไม่มีหลักฐานบอกไว้

เป็นอันว่า ความพยายามที่จะเอาความผิดวายแอ็ทกับพรรคพวกแล้วจับแขวนคอเสียไม่เป็นผล

เมื่อไม่สามารถจะเล่นงานพวกเอิ๊ร์ปตอบแทนโดยใช้กฎหมายได้ ไอ๊ค์ แคลนตั้น ก็เลยต้องหันไปใช้วิธีการอื่นแทน แถมยังฟาดหัวฟาดหางไปยังผู้ที่ไอ๊ค์เห็นว่าเป็นผู้สนับพวกเอิ๊ร์ปด้วย

รายแรกที่โดนตอบโต้ก็คือ จอห์น คลัม นายกเทศมนตรีของเมืองทูมบ์สโตน และเจ้าของหนังสือพิมพ์เอพิแทฟ ผู้ทำหน้าที่เป็นกระบอกเสียงสนับสนุนพวกเอิ๊ร์ป และโจมตีพวกแคลนตั้นมาตลอด อย่างเสมอต้นเสมอปลาย

วันที่ 14 ธันวาคม ค.ศ. 1881 จอห์น คลัม เดินทางด้วยรถม้าโดยสารออกจากเมืองทูมบ์สโตน ถูกคนร้ายซุ่มยิงระหว่างทาง ถึงแม้จะไม่โดน แต่ก็ทำให้ม้าตกใจวิ่งเตลิดออกนอกเส้นทางไปพักใหญ่ กว่าคนขับจะเอาอยู่

 จอห์น คลัม
ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์เอพิแทฟ
และเพื่อนสนิทคนหนึ่งของ
วายแอ็ท เอิ๊ร์ป ถูกลอบยิง
ขณะนั่งรถโดยสาร
หลังจากศาลตัดสินว่า
วายแอ็ทไม่มีความผิด
เพียงสองอาทิตย์
แต่โชคดีที่พลาด
จอห์นเป็นผู้มอบปืน
สมิธ แอนด์ เว้สสัน
รุ่นหมายเลข 3 ขนาด .44
แกะลวดลายให้วายแอ็ท
ไว้เป็นที่ระลึก 
 โฉมหน้าปืน สมิธ แอนด์ เว้สสัน รุ่นหมายเลข 3 ขนาด .44
กระบอกนี้ไม่ได้แกะลวดลายเหมือนกระบอกที่
จอห์น คลัม มอบเป็นของขวัญให้ วายแอ็ท เอิ๊ร์ป 

อีกรายหนึ่งก็หนีไม่พ้นผู้พิพากษา เวลส์ สไปเซอร์ ผู้ตัดสินให้ วายแอ็ท เอิ๊ร์ป กับพวกพ้นผิดนั่นแหละครับ
วันที่ 17 ธันวาคม ค.ศ. 1881 มีบุคคลลึกลับส่งจดหมายขู่เอาชีวิตผู้พิพากษาสไปเซอร์ บอกว่าให้เตรียมตัวไว้ รับรองต้องเจอดีแน่ แค่เมื่อไรเท่านั้นเอง

ผู้พิพากษาตอบโต้ประจานผู้ข่มขู่ทันที ด้วยการเขียนบทความเรื่องนี้ลงในหนังสือพิมพ์เอพิแทฟ สรุปแบบท้าทายไว้ตอนท้ายด้วยว่า มีความพยายามลอบสังหาร จอห์น คลัม ไปแล้ว ใครจะเป็นคนต่อไป

ผู้พิพากษา
เวลส์ สไปเซอร์
ผู้ตัดสินคดีประวัติศาสตร์
ว่าพวกเอิ๊ร์ปปฏิบัติหน้าที่
ตามสมควรแก่เหตุ
ไม่ได้จงใจฆ่า
และไม่มีความผิด
หลังจากแถลงคำวินิจฉัย
และคำตัดสินได้ไม่นาน
ก็ถูกบัตรสนเท่ห์ขู่เอาชีวิต 

ปรากฏว่าคนต่อไป กลับไม่ยักใช่ผู้พิพากษาสไปเซอร์ แต่กลายเป็น เวอร์จิล เอิ๊ร์ป แทน

ถึงแม้จะพ้นผิดในคดีฆาตกรรมพวกแคลนตั้น แต่เวอร์จิลก็ถูกศาลพิจารณาว่าบกพร่องต่อหน้าที่เหมือนกัน ถึงแม้จะเป็นความบกพร่องโดยสุจริต ก็ยังหนีไม่พ้นความรับผิดชอบ

ต้องคืนตราประจำตำแหน่งซิตี้มาร์แชลแห่งเมืองทูมบ์สโตนไป (หรือพูดง่ายๆว่าถูกปลดนั่นแหละครับ) คงเหลืออยู่แต่ตำแหน่งผู้ช่วย ยู.เอส.มาร์แชล  ที่ได้รับแต่งตั้งก่อนย้ายมาอยู่ทูมบ์สโตนเพียงตำแหน่งเดียว

คืนวันที่ 28 ธันวาคม ค.ศ.1881 อากาศคืนฤดูหนาวเย็นเฉียบ เหตุการณ์ทั่วไปดูปกติดี 

เวอร์จิลเดินมาตามถนนแอลเล็น พอถึงหัวมุมถนนสายที่ห้า ก็หยุดยืนตรงหัวมุมถนน มองไปรอบๆเห็นแสงไฟจากหน้าต่างบาร์และซาลูน ภายในมีนักพนันและนักเที่ยวหาความสำราญกันอย่างสงบเรียบร้อย ไม่มีขี้เมาอาละวาด หรือเรื่องชกต่อยทำลายข้าวของเหมือนแต่ก่อน

เวอร์จิลคงจะนึกอยู่ในใจว่า ถึงจะถูกปลดจากตำแหน่งซิตี้มาร์แชล แต่ตัวเองก็มีส่วนในการร่วมจัดระเบียบสังคม จนสำเร็จไปได้ระดับหนึ่งเป็นที่น่าพอใจไม่น้อย

ว่าแล้วออกก็เดินต่อ จะข้ามถนนไปยังฝั่งตรงข้าม

พอเดินมาถึงตรงกลางถนน ก็มีเสียงปืนลูกซองมากกว่าหนึ่งนัด ยิงเปรี้ยงขึ้นจากข้างหลังพร้อมๆกัน โดนเข้าที่แขนซ้ายท่อนบนของเวอร์จิลอย่างจัง 

เวอร์จิลรู้ตัวได้ทันทีว่าถูกลอบยิง แต่เนื่องจากโดนลูกปรายเข้าหลายเม็ดเต็มต้นแขน อาการสาหัสเลือดสาดเต็มไปหมด จึงไม่สามารถรวบรวมกำลังออกวิ่งตามหามือปืนได้

ผู้คนต่างตกใจเสียงปืน พากันออกมาดู หมอรีบนำตัวเวอร์จิลไปรักษาทันทีก่อนที่จะสายเกินไป

เมื่อ 120 ปีที่แล้ว การแพทย์ยังไม่เจริญก้าวหน้าอย่างเดี๋ยวนี้ครับ พวกยาปฏิชีวนะหรือยาฆ่าเชื้อก็หายากถ้าเป็นเมืองที่อยู่ไกลๆมากๆ บาดแผลจากการโดนยิงนั้น ถึงจะไม่เข้าที่สำคัญ แต่ก็สามารถถึงตายจากการติดเชื้อได้ง่ายๆ ถ้าไม่ดูแลให้ดี

ที่เรามักเห็นกันในหนังคาวบอยฮอลลีวู้ดว่า พระเอกหรือผู้ช่วยโดนยิงที่ไหล่หรือที่แขนแล้วก็แค่แคะกระสุนออก พันแผลเสร็จผูกผ้าคล้องแขนเดินไปเดินมาเดี๋ยวเดียวก็หายนั้น โม้ทุกรายครับ

หมอพยายามรักษาเวอร์จิลอย่างเต็มที่ จากการผ่าตัดพบว่า กระดูกต้นแขนแตกเป็นเสี่ยง เส้นเอ็นกล้ามเนื้อขาด เพราะผลจากการโดนลูกปรายขนาดบั๊คช้อท (อันนี้ผมหารายละเอียดไม่เจอครับ เดาว่าคงเม็ดใกล้เคียงกับขนาด 00 หรือดับเบิ้ลโอบั๊ค ที่บ้านเราชอบเรียกกันว่าลูกปรายเก้าเม็ดนั่นแหละครับ แต่น่าจะมีมากกว่าเก้าเม็ดเพราะลูกซองยอดนิยมในยุคนั้นมักจะเป็นขนาด 10 เสียส่วนใหญ่ ไม่ใช่ขนาด 12 อย่างที่นิยมกันสมัยนี้) 

นอกจากไม่สามารถต่อให้ติดให้ใช้งานเหมือนเดิมได้แล้ว ยังต้องเก็บเศษ และเสี้ยนกระดูกที่แตกฝังอยู่เต็มไปหมดออกจากเนื้อ มีความเสี่ยงที่แผลจะลุกลามใหญ่โต
สุดท้ายแล้ว หมอมีความเห็นว่า เพื่อลดความเสี่ยง ควรตัดแขนซ้ายออกทั้งแขน เพื่อรักษาชีวิตไว้

เวอร์จิลไม่ยอมให้หมอตัดแขนทิ้ง ยืนยันเสียงแข็งกับหมอและญาติพี่น้องทุกคนว่า ถ้าตัวเองจะต้องตายละก็ ศพของตัวจะต้องถูกฝังโดยมีแขนติดตัวอยู่ครบซ้ายขวาทั้งสองข้าง

แต่แล้วเวอร์จิลกลับรอดพิษบาดแผลพ้นอันตรายมาได้อย่างหวุดหวิด กลายเป็นคนพิการใช้แขนซ้ายไม่ได้ และไม่สามารถรับผิดชอบงานในหน้าที่ของตำแหน่งผู้ช่วย ยู.เอส. มาร์แชล อีกต่อไป

เวอร์จิล เอิ๊ร์ป พี่ชายของวายแอ็ท
ถูกลอบยิงข้างหลังด้วยปืนลูกซอง
ขณะเดินข้ามถนนคนเดียวกลางดึก
โดนเข้าจังๆที่แขนซ้าย
รอดมาได้อย่างหวุดหวิด
แต่ต้องพิการไปตลอดชีวิต 

วันรุ่งขึ้น 29 ธันวาคม ค.ศ. 1881 วายแอ็ทส่งโทรเลขถึง ครอว์ลี่ย์ เด๊ค (Crawley Dake) ผู้ดำรงตำแหน่ง ยู.เอส. มาร์แชล ประจำเขตปกครองอริโซน่าในขณะนั้น อธิบายเรื่องราวที่เกิดขึ้น และร้องขอต่อมาร์แชลเด๊ค ให้แต่งตั้งตนเข้าดำรงตำแหน่งผู้ช่วยฯ แทนที่เวอร์จิล เพื่อให้ตนมีอำนาจติดตามล่าตัวผู้ร้ายมาขึ้นศาลลงโทษทัณฑ์ตามกฎหมายได้

วายแอ็ทได้รับการแต่งตั้งสมใจอยาก รีบออกหมายจับผู้ที่ตนสงสัยว่าเป็นผู้ลอบยิงพี่ชายของตัวทันที ซึ่งจะเป็นใครไปไม่ได้นอกเสียจาก ไอ๊ค์ แคลนตั้น คู่กัดนั่นเอง พ่วงด้วยมือปืนคนสนิทของพวกแคลนตั้นอีกสองคน 

คนหนึ่งนั้นเคยเป็นผู้ช่วยเชอร์ริฟของ จอห์นนี่ บีแฮน และยังมีคดีปล้นรถม้าติดตัวอยู่ ได้แก่ แฟร้งค์ สติลเวลล์ (Frank Stilwell) ส่วนอีกคนหนึ่งชื่อ แฮ้งค์ สวิลลิ่ง (Hank Swilling)

ทั้งนี้ มียามเฝ้าโรงน้ำแข็งที่อยู่ห่างไปไม่ไกล เป็นพยานยืนยันว่า เห็นทั้งสามวิ่งถือปืนลูกซองผ่านไปหลังจากเกิดเหตุ

วายแอ็ทยังมีหลักฐานของตนเองมายืนยันอีกด้วยว่า เก็บหมวกคาวบอยได้ใบหนึ่งใกล้ๆที่เกิดเหตุ หมวกใบนี้มีชื่อเขียนไว้ว่า ไอ๊ค์ แคลนตั้น

จากนั้น ชุดติดตามจับคนร้ายของวายแอ็ทถูกฟอร์มขึ้นอย่างเร่งรีบ และหนึ่งในสมาชิกนั้นได้แก่ ด๊อค ฮอลลิเดย์ คู่กัดของไอ๊ค์อีกเหมือนกัน

ในเวลาเดียวกัน ไอ๊ค์ แคลนตั้น ก็ไปโผล่ที่เมือง คอนเทนชั่น ซิตี้ (Contention City) ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากทูมบ์สโตนนัก แจ้งจับวายแอ็ทกับพวกอีกครั้งในข้อหาเดิม 

เปิดโอกาสให้ เชอร์ริฟ จอห์นนี่ บีแฮน ผู้เป็นคู่แข่งคนสำคัญทางการเมืองของวายแอ็ทสำหรับการเลือกตั้งในปีต่อไป สามารถออกประกาศจับวายแอ็ท พร้อมทั้งฟอร์มชุดติดตามออกไล่จับวายแอ็ทได้ด้วยเหมือนกัน

และหนึ่งในสมาชิกนั้นย่อมเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก ไอ๊ค์ แคลนตั้น แถมด้วย แฟร้งค์ สติลเวลล์ อดีตผู้ช่วยของตน

ชาวบ้านก็เลยได้เห็นชุดติดตามจับคนร้ายสองชุด แต่ละชุดมีทั้งเจ้าหน้าที่และผู้ต้องหา ออกไล่จับกันเองอย่างอุตลุด

ชุดของไอ๊ค์ ซึ่งมีจอห์นนี่เป็นหัวหน้าทีมได้เปรียบกว่า เนื่องจากจอห์นนี่ไม่มีใครแจ้งจับไว้เหมือนวายแอ็ท จึงสามารถจับวายแอ็ทส่งขึ้นศาลได้ก่อน (ท่านผู้อ่านที่ติดตามมาตั้งแต่ตอนที่แล้วคงสังเกตนะครับว่า ถึงวายแอ็ทจะฝีมือไร้เทียมทานในการดวลปืนสักแค่ไหน แต่พอเป็นเรื่องเล่ห์เหลี่ยมทางการเมืองแล้วมักเสร็จจอห์นนี่ทุกที)

แต่แล้วศาลเมืองคอนเทนชั่นฯ ก็พิพากษายืนตามคำตัดสินของผู้พิพากษาสไปเซอร์ว่า วายแอ็ทกับพวกไม่มีความผิด โดยให้เหตุผลว่าไม่มีหลักฐานอะไรใหม่กว่าครั้งก่อน และปล่อยตัววายแอ็ทพ้นข้อหาไป

คราวนี้ก็น่าจะเป็นตาของวายแอ็ท ที่จะจับไอ๊ค์กับมือปืนมาขึ้นศาล ให้คุ้มกับที่อุตส่าห์วางแผนเตรียมการไว้อย่างดีแล้วให้สมแค้นบ้างใช่มั้ยครับ

เปล่าหรอกครับ วายแอ็ทยังคงพลาดท่าให้กับเกมส์การเมืองของจอห์นนี่อีกเป็นรอบที่สอง

นั่นคือ ไอ๊ค์ แคลนตั้น กับผู้ต้องหาอีกสองคนในคดีลอบยิงเวอร์จิล ชิงเข้ามอบตัวกับจอห์นนี่เองเสียก่อน โดยไม่เปิดโอกาสให้วายแอ็ทตามจับ

เมื่อคดีถึงศาล พรรคพวกของไอ๊ค์ต่างพร้อมใจกันมาให้การเป็นพยานว่า ผู้ต้องหาทั้งสามกินเลี้ยงอยู่ด้วยกันที่ไร่นอกเมืองตลอดคืนวันเกิดเหตุ

ส่วนพยานของวายแอ็ท มีเพียงยามเฝ้าโรงน้ำแข็งรอบดึกคนเดียว และหลักฐานในมือของวายแอ็ทที่เป็นหมวกมีชื่อไอ๊ค์เขียนไว้ ก็มีเพียงวายแอ็ทคนเดียวเท่านั้นที่เก็บมาได้ ไม่มีผู้อื่นร่วมรู้เห็น

ศาลจึงตัดสินปล่อยไอ๊ค์และผู้ต้องหาอีกสองคนเป็นอิสระ

เป็นอันว่า ความพยายามของทั้งสองฝ่ายที่จะเอาตัวอีกข้างหนึ่งมาดำเนินคดีตามกฎหมายบ้านเมือง ต่างไม่บรรลุผล

ในมุมมองของ ไอ๊ค์ แคลนตั้น นั้นถือว่าแค้นนี้ยังไม่ชำระ พวกเอิ๊ร์ปทุกคนยังคงลอยนวลอยู่ให้เห็นบาดหูบาดตาต่อไป

ส่วนทางฝ่ายเอิ๊ร์ปนั้นก็พอจะคาดเดาได้บ้างแล้วว่า พวกแคลนตั้นเริ่มเปลี่ยนมาใช้วิธีการของผู้ก่อการร้ายซุ่มโจมตีแบบไม่ให้รู้ตัว มากกว่าที่จะออกมาต่อสู้กันซึ่งๆหน้าเหมือนเมื่อครั้งศึกที่ โอเค คระราล

วายแอ็ทและพี่น้องทุกคน พากันเตรียมพร้อมรับสถานการณ์ ย้ายบ้านและครอบครัวจากเขตชานเมือง เข้ามาอยู่ในโรงแรมใจกลางเมือง เพื่อลดความเสี่ยงจากการถูกลอบโจมตี

คืนวันที่ 18 มีนาคม ค.ศ.1882 วายแอ็ทกับมอร์แกนน้องชาย และเพื่อนฝูงอีกหลายคน ชุมนุมแทงบิลเลียดกันอยู่ที่ แคมป์เบลล์ แอนด์ แฮ็ทชส์ ซาลูน (Campbell and Hatches Saloon) บนถนนแอลเล็น

ทุกคนเพลิดเพลินสนุกสนานเฮฮากันอย่างเต็มที่ โดยไม่มีใครเฉลียวใจว่าเหตุร้ายกำลังจะเกิดขึ้น

ขณะนั้นเป็นเวลาสี่ทุ่มครึ่ง มอร์แกนกำลังเล่นแข่งกับ บ๊อบ แฮ็ทชส์ เจ้าของซาลูน โดยมีวายแอ็ทและเพื่อนๆนั่งเชียร์อยู่รอบๆโต๊ะ

พอถึงตาของบ๊อบก้มลงแทงลูกของตัว ก็มีเสียงปืนลูกซองดังเปรี้ยง ลูกปรายวิ่งทะลุประตูกระจกแตกเพล้งเข้ามาในร้าน ตามด้วยเสียงปืนสั้นอีกสามสี่นัด ยิงเข้ามาทางหน้าต่าง

ลูกหนึ่งวิ่งเข้าทะลุเข้าข้างฝา เฉียดหัววายแอ็ทไปไม่ถึงคืบ

ทุกคนต่างตกใจกระโดดหมอบลงบนพื้น ยกเว้นมอร์แกนคนเดียวที่หมอบลงบนโต๊ะ เลือดนองเต็มหลังไหลลงบนโต๊ะบิลเลียดแดงฉานไปหมด

พอได้สติ วายแอ็ทก็วิ่งออกไปนอกร้านเพื่อจะไล่ตามจับมือปืนให้ทัน แต่ทั้งหมดอันตรธานหายไปในความมืดเสียแล้ว ก่อนที่วายแอ็ทจะได้ทันเห็นหน้าเห็นตา

และหนนี้ไม่ยักมีใครทิ้งหมวก หรือเสื้อ กางเกง ผ้าเช็ดหน้า รองเท้า ฯลฯ ที่มีชื่อตัวเองเขียนไว้ ให้วายแอ็ทถือติดไม้ติดมือกลับมา ใช้เป็นหลักฐานชี้ตัวผู้ร้ายได้เหมือนเมื่อครั้งลอบยิงเวอร์จิลอีก

เพื่อนๆที่เหลือ รีบลุกขึ้นมาดูมอร์แกนที่ยังหมอบคว่ำอยู่กับโต๊ะ พบว่าโดนกระสุนลูกปรายเข้าเต็มกลางหลัง  หมอถูกตามมาดูอาการอย่างเร่งด่วน

แต่ไม่สามารถช่วยอะไรได้มาก เพราะกระสุนเจาะทะลุเข้ากระดูกสันหลังแตกละเอียด ชะตาถึงฆาตเสียชีวิตไปภายในไม่ถึงชั่วโมง ต่อหน้าต่อตาวายแอ็ทและเพื่อนๆที่เฝ้าดูอยู่นั่นเอง

  มอร์แกน เอิ๊ร์ป
น้องชายของวายแอ็ท
ถูกลอบยิงข้างหลังด้วยปืนลูกซอง
ขณะกำลังเล่นบิลเลียดอยู่ในซาลูน
โดนกระสุนเข้ากลางหลัง
เสียชีวิตไปในที่สุด 

เหตุการณ์ได้ดำเนินมาถึงจุดแตกหักอีกครั้งหนึ่งแล้วครับ วายแอ็ทถึงแม้จะไม่มีหลักฐานอะไรมาพิสูจน์ให้ทุกฝ่ายยอมรับ แต่ก็เชื่อมั่นร้อยเปอร์เซ็นต์ว่า ไอ๊ค์ แคลนตั้น เป็นหัวหน้าขบวนการก่อการร้าย ที่ลอบโจมตีเอาชีวิตพี่น้องของตน โดยมีตนเป็นเป้าหมายรายต่อไป

วายแอ็ทขณะนี้ มีอำนาจปราบปรามเต็มที่ในฐานะผู้ช่วย ยู.เอส. มาร์แชล ตัดสินใจแล้วว่า หากจะเอาชนะสงครามกับผู้ก่อการร้าย ก็ต้องตอบโต้ผู้ก่อการร้ายด้วยวิธีเดียวกัน

ถนนแอลเล็นตรงสี่แยกถนนสายที่ห้า
เวอร์จิล เอิ๊ร์ป ถูกลอบยิงกลางดึกขณะกำลังเดินข้ามถนน
ตรงบริเวณมุมขวาล่างของภาพ
หลังจากนั้นเเพียงสองเดือนเศษ มอร์แกน เอิ๊ร์ป
ก็ถูกลอบยิง ขณะกำลังเล่นบิลเลียด
อยู่ใน แคมป์เบลล์ แอนด์ แฮทชส์ ซาลูน
ซึ่งตั้งอยู่บนถนนแอลเล็นนี้เหมือนกัน
(ประมาณช่วงกลางๆของหมู่ห้องแถว
ที่เห็นทางขวามือในภาพ) 

คงจะต้องขอยกตอนอวสานของ กันไฟ้ท์ แอ็ท เดอะ โอเค คระราล ที่สุดของที่สุดแห่งการดวล ไปบรรยายความต่อในครั้งหน้านะครับ ว่า รีเทอร์น ออฟ ดิ เอิ๊ร์ป กับยุทธการกวาดล้างผู้ก่อการร้ายเมื่อ 120 ปีก่อนของวายแอ็ท จะเป็นอย่างไร 

วายแอ็ทจะสามารถล่าเอาตัว ไอ๊ค์ แคลนตั้น หัวหน้าขบวนการก่อการร้ายมาลงโทษได้หรือไม่ ความสูญเสียจะตามมาอีกมากแค่ไหน สงครามจะยืดเยื้อหรือไม่ และในที่สุดแล้วลงเอยอย่างไร

โปรดอย่าลืมติดตามกันอีกนะครับ

มาร์แชลต่อศักดิ์
พฤศจิกายน 2544