กันไฟ้ท์ แอ็ท เดอะ โอเค คระราล ที่สุดของที่สุดแห่งการดวล (1/3)


นิตยสาร กันส์ เวิลด์ ไทยแลนด์ ฉบับที่ท่านถืออยู่ในมือนี้ วางจำหน่ายในเดือนเดียวกับวันครบรอบเหตุการณ์สำคัญในหน้าประวัติศาสตร์ยุคคาวบอยตะวันตก ซึ่งได้กลายเป็นตำนานเล่าขานติดต่อกันมาจนถึงทุกวันนี้

ใช่แล้วครับ การดวลที่คอกโอเค หรือ Gunfight at the OK Corral บริเวณใจกลางเมืองทูมบ์สโตน (Tombstone) รัฐอริโซน่า กลางวันแสกๆต่อหน้าฝูงชนมากมาย ฝ่ายหนึ่งจำนวน 4 คน นำโดยพี่น้องตระกูลเอิ๊ร์ป (Earp) เดินเข้า

เผชิญหน้ากับฝ่ายตรงข้ามจำนวน 5 คน นำโดยพี่น้องตระกูลแคลนตั้น (Clanton) แล้วสาดกระสุนเข้าใส่กันอย่างถี่ยิบ ในเวลาเพียงไม่ถึง 30 วินาทีก็รู้แพ้รู้ชนะกัน เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม ปีคริสตศักราช 1881 

ครบสิบรอบ หรือ 120 ปี ในเดือนนี้พอดิบพอดี 

เหตุการณ์นี้ได้จุดชนวนให้นักประวัติศาสตร์ นักเขียน นักวิจารณ์ นักสร้างหนัง ผู้ที่สนใจ และลูกหลานของผู้สูญเสีย ออกมาแสดงความคิดเห็นกันอย่างกว้างขวาง 

มีตั้งแต่ผู้ที่มองว่าเป็นเรื่องของการต่อสู้ที่ฝ่ายธรรมะต้องชนะฝ่ายอธรรม ผู้รักษากฎหมายต้องปราบปรามเหล่าร้ายให้เด็ดขาด บ้างก็มองว่าเป็นวีรกรรมการต่อสู้ ระหว่างผู้กล้าที่มีความแน่วแน่เด็ดเดี่ยวเป็นนักเลงจริง กับผู้แพ้ที่โฉดเขลาเบาปัญญาและขี้ขลาดเห็นแก่ตัว 

บ้างก็มองกลับกันว่าเป็นการข่มเหงใช้กำลังเข้าประหัตประหาร กระทำวิสามัญอย่างเลือดเย็นต่อผู้ไม่มีทางสู้ 

บ้างก็มองแหวกแนวออกไปอีกว่า เป็นเพียงการห้ำหั่นกันของพวกมือปืนหัวคะแนนพรรคการเมืองอย่างไม่เกรงกลัวต่อกฎหมาย ไม่เห็นว่าจะเป็นวีรกรรมหรือเรื่องที่จะต้องยกย่องหรือเหยียบย่ำใครแต่อย่างใด 

นอกเหนือไปจากความเห็นแตกต่างกันในเรื่องดังกล่าวแล้ว อาวุธปืนที่ใช้ก็มีการโต้เถียงไม่น้อยเหมือนกันครับว่า ฝ่ายชนะจากการดวล โดยเฉพาะอย่างยิ่ง วายแอ็ท เอิ๊ร์ป ผู้รอดมาได้แบบไม่มีรอยขีดข่วนเลยนั้น ใช้ปืนอะไร 

แต่เดิมเชื่อกันว่า วายแอ็ท เอิ๊ร์ป ใช้ปืน โค้ลท์ ซิงเกิ้ล แอ๊คชั่น อาร์มี่ ขนาด .45 รุ่นสั่งทำพิเศษลำกล้องยาว 12 นิ้ว แต่หลายคนก็ไม่ค่อยเชื่อนัก 

จนเมื่อไม่กี่ปีมานี้เอง มีมือดีออกมาท้าพิสูจน์ข้อเท็จจริง เจาะลึกสอบรายละเอียดไปจนถึงเอกสารการผลิตของโรงงาน บริษัทโค้ลท์ซึ่งหุบปากเงียบมาตลอดไม่ยอมวิพากษ์วิจารณ์อะไร ถึงได้ยอมจำนนด้วยหลักฐานของตัวเองว่า โค้ลท์เพิ่งจะเริ่มผลิตปืนรุ่นซิงเกิ้ลแอ๊คชั่นอาร์มี่ขนาด .45 ลำกล้องยาว 12 นิ้วเป็นกระบอกแรกในปี ค.ศ.1892 หลังจากการดวลตั้ง 11 ปี 

จากนั้นเรื่องก็บานปลาย กลายเป็นพบหลักฐานเพิ่มว่า ปืนที่ วายแอ็ท เอิ๊ร์ป ใช้ในการดวล ไม่ได้เป็นโค้ลท์รุ่นไหนทั้งสิ้น กลับกลายเป็น สมิธ แอนด์ เว้สสัน รุ่นหมายเลข 3 ขนาด .44 ลำกล้องยาว 8 นิ้วไปเสียฉิบ ส่วนฝ่ายตรงข้ามที่เสียชีวิตจากการดวลต่างใช้ปืนโค้ลท์กันทุกคน เล่นเอาบริษัทโค้ลท์เสียรังวัดไปแยะเหมือนกัน 

มีการนำเหตุการณ์ดวลนี้ไปเป็นฉากสำคัญของหนังคาวบอยหลายเรื่อง ทีโด่งดังมาจนถึงบ้านเรา (เท่าที่ผมจำได้) ก็มีเรื่อง Gunfight at the OK Corral ตั้งแต่ 40 กว่าปีก่อน จนล่าสุดเมื่อเกือบ 10 ปีที่แล้ว ก็มีเรื่อง Tombstone ตามติดๆมาด้วยเรื่อง Wyatt Earp 

แล้วยังพบด้วยว่า แม้แต่หนังที่ไม่น่าจะมีอะไรเกี่ยวข้องกับคาวบอยสักนิด ก็ยังอุตส่าห์นำเรื่องราวของการยิงกันครั้งนี้ไปเป็นฉากสำคัญตอนหนึ่งด้วย 

ท่านผู้อ่านคงคาดไม่ถึงใช่ไหมครับว่า หนังนวนิยายวิทยาศาสตร์เชิงแฟนตาซี ว่าด้วยการผจญภัยสำรวจดวงดาวและจักรวาลอย่างเรื่อง Star Trek หรือ ตะลุยจักรวาล ที่สร้างเป็นทั้งหนังทีวีและหนังโรง (จนทุกวันนี้ก็ยังตะบันสร้างกันอยู่ไม่ยอมเลิกนั้น) จะมาจะเอ๋กับ Gunfight at OK Corral ได้อย่างไร 

แต่ท่านที่เป็นแฟนพันธุ์แท้ของ Star Trek คงจะต้องจำได้แน่ๆเลยว่า มีอยู่ตอนหนึ่งที่ความผิดพลาดของอุปกรณ์ขนส่งบนยานเอ็นเทอร์ไพร้ส์ พาเอากัปตันเคิ้ร์คกับคุณสป๊อค หมอแม็คคอย คุณชาร์คอฟ และสก๊อตตี้  เดินทางย้อนเวลาไปถึงเมืองทูมบ์สโตนในวันที่ 26 ตุลาคม ค.ศ.1881 โดยไม่ตั้งใจ  ถูกพวกเอิ๊ร์ปเข้าใจผิดว่าเป็นพวกแคลนตั้น เกือบจะโดนสังหารหมู่เสียแล้ว โชคดีที่เอาชีวิตรอดมาได้อย่างหวุดหวิด 

นี่ก็ทำให้พอทายได้นะครับว่า อีกร้อยๆปีข้างหน้า ผู้คนก็ยังจะต้องจำการดวลครั้งนี้ได้อยู่ 

ก่อนที่จะกลายเป็นเรื่อง สเป๊ซ คาวบอย ไป เรากลับมาดูเรื่องราวที่นำไปสู่การยิงกันดีกว่านะครับ รวมทั้งเหตุการณ์ที่ตามมาหลังจากจบการยิงกันไปแล้วด้วย 

โดยผมจะได้เล่าถึงที่มาที่ไปของแต่ละฝ่ายเสียก่อน จากนั้นก็ค่อยมาดูว่า อะไรเป็นสาเหตุของการยิงกัน  และใครควรจะเป็นพระเอกหรือเป็นผู้ร้าย ควรแก่การยกย่องหรือประณามกันแน่

หรือเป็นเพียงเรื่องมือปืนหัวคะแนนเข่นฆ่ากัน อย่างที่บางคนว่าจริงๆ 

และที่ขาดไม่ได้ก็คงจะต้องบรรยายรายละเอียดในช่วงเวลา 30 วินาทีของการยิงกันเสียหน่อยนะครับ ว่าใครฝีมือขนาดไหน 

ขอเริ่มที่ฝ่ายแคลนตั้นก่อน ตระกูลแคลนตั้นเข้ามาบุกเบิกทำไร่ปศุสัตว์อยู่ในภาคตะวันออกเฉียงใต้ของอริโซน่าตั้งแต่ปี 1873 จนเป็นปึกแผ่นมั่นคงขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1877 อันเป็นปีเดียวกับที่มีการพบสายแร่เงินในพื้นที่ที่เรียกกันว่า กู๊สแฟล็ทส์ (Goose Flats) ห่างจากเมืองชาร์ลสตั้น (Charleston) ที่พวกแคลนตั้นตั้งนิวาสถานอยู่ไปทางเหนือประมาณ 12 ไมล์ 

เมืองชาร์ลสตั้น ฐานที่มั่นของตะกูลแคลนตั้น
(ไม่ทราบปีที่บันทึกภาพ)

พื้นที่ดังกล่าวต่อมากลายเป็นเหมืองแร่และชุมชนขนาดใหญ่ ดึงดูดนักแสวงโชคจากทุกสารทิศ จนสถาปนาขึ้นเป็นเมืองในปีเดียวกัน 

เมืองใหม่นี้ถูกขนานนามว่า ทูมบ์สโตน อันมีความหมายว่า แผ่นหินที่ปักไว้เหนือหลุมศพสำหรับสลักชื่อของผู้ตาย อย่างที่เราเห็นกันตามป่าช้าฝรั่งนั่นแหละครับ

ที่มาของชื่อเมืองอันไม่ค่อยจะเป็นมงคลนี้ มีประวัติว่า ก่อนที่อีตานักขุดทองชื่อ เอ๊ดเวิร์ด ชิฟเฟลิน (Edward Schieffelin) จะจับพลัดจับผลูมาขุดเจอเอาเงินเข้าแทนจนร่ำรวยที่นี่ เคยได้รับคำตักเตือนจากพวกทหารว่า สิ่งเดียวที่คุณจะได้พบที่นั่น คือก้อนหินสำหรับสลักชื่อเอาไว้ปักอยู่บนหลุมฝังศพของคุณเท่านั้นเนื่องจากพื้นที่นี้ยังมีพวกอินเดียนแดงเผ่าอปาชี่ ซึ่งว่ากันว่าดุร้ายนักผ่านไปผ่านมาอยู่มาก 

เอ๊ดเวิร์ดลุยต่อโดยไม่ยี่หระกับคำเตือน เมื่อขุดพบแร่เงินจนร่ำรวยขึ้นมาเพียงชั่วข้ามคืนแล้ว ก็ตั้งชื่อเหมืองของตัวว่า ทูมบ์สโตน เป็นที่ระลึกเสียเลย (นับว่าพี่แกมีอารมณ์ขันไม่เบา จัดอยู่ในพวกตลกร้ายคนหนึ่งเหมือนกันนะครับ) 

เอ๊ดเวิร์ด ชิฟเฟลิน นักแสวงโชค
ผู้พบสายแร่เงินขนาดใหญ่
จนกลายเป็นเศรษฐี และก่อตั้ง
เหมืองแร่ขึ้น จนในที่สุด
กลายเป็นเมืองทูมบ์สโตน
เมื่อปี ค.ศ. 1877
ในภาพนี้ นอกจากจะถือปืนยาว
ช้ารปส์ไรเฟิลแล้ว ยังพกปืนลูกโม่
สมิธแอนด์เว้สสันด้ามงาที่ข้างเอว
อีก 2 กระบอก ในสไตล์ที่เรียกว่า
butt forward คิอหันด้ามปืน
ออกมาทางด้านหน้า

การเกิดและบูมของเมืองทูมบ์สโตน ได้นำโชคลาภมาสู่พวกแคลนตั้น ซึ่งเป็นพวกเดียวในเวลานั้นที่มีไร่ปศุสัตว์เป็นหลักเป็นฐาน สามารถป้อนเนื้อวัวเป็นอาหารให้คนทั้งเมืองได้อย่างต่อเนื่องไม่ติดขัด 

สมาชิกของตระกูลแคลนตั้นอันประกอบด้วย นิวแมน เฮนส์ (Newman Haynes) ผู้พ่อ ที่ใครๆมักเรียกอย่างเป็นกันเองว่า ตาเฒ่าแคลนตั้น (Old Man Clanton) กับลูกชาย 3 คน ชื่อ ฟิน (Phineas) ไอ๊ค์ (Isaac) และบิลลี่ (William) กลายเป็นบุคคลสำคัญของเมืองทูมบ์สโตนที่ผู้คนต่างรู้จักรักใคร่นับหน้าถือตาอยู่ไม่น้อย 

โฉมหน้าของ นิวแมน เฮนส์
หรือ ตาเฒ่าแคลนตั้น
ผู้บบุกบิกกิจการปศุสัตว์

 และตั้งรกรากอยู่ในพื้นที่มาก่อน
 ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1873
ก่อนจะมีการขุดพบแร่เงิน
และก่อตั้งเมืองทูมบ์สโตน

เมื่อเมืองเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว มีปากท้องต้องกินอาหารเพิ่มขึ้นอีกมากมายจนวัวที่มีอยู่ในไร่เริ่มเกิดและโตไม่ทัน พวกแคลนตั้นก็แก้ปัญหาเนื้อวัวขาดตลาดด้วยวิธีลัด ข้ามชายแดนเข้าไปขโมยฝูงปศุสัตว์ของพวกแม็กซิกันเข้ามาป้อนตลาดแทน 

งานนี้เป็นงานเสี่ยงอันตราย เพราะหากพลาดพลั้งก็จะโดนตำรวจแม็กซิกันจับตายเสียก่อน 

พวกแคลนตั้นจึงต้องหานักเลงปืนไว้เป็นพวกหลายคน ที่ไว้ใจกันมากที่สุดก็เห็นจะไม่พ้นสองพี่น้อง แฟร้งค์ (Frank) กับ ทอม (Tom) แม็คลอรี่ (McLaury) 

นอกจากนั้นยังมีฝูงมือปืนที่ประวัติไม่ค่อยดีอีกหลายคน อาทิเช่น เคอร์ลี่ บิล โบรเชียส (Curly Bill Brocious) แฟร้งค์ สติลเวลล์ (Frank Stilwell) จอห์นนี่ ริงโก้ (Johnny Ringo) พี้ท สเป๊นซ์ (Pete Spence) อินเดียน ชาร์ลี (Indian Charlie) 

"แกนนำ" ของพวกแคลนตั้น
ตรงกลางคือ ไอ๊ค์ แคลนตัน
ซ้ายมือคือ ทอม ขวามือคือ แฟร้งค์ แม็คลอรี่

เชื่อว่าช่วงหลังๆนี้ ชาวเมืองทูมบ์สโตนคงพอจะรู้อยู่เหมือนกันว่า พวกแคลนตั้นไปหาเนื้อวัวได้ตั้งมากมายมาจากไหน แต่ส่วนใหญ่ก็ปิดหูปิดตาเสียข้างนึงทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น ต่างคนต่างต้องดิ้นรนทำมาหากินกันทั้งนั้น ขืนมามัวแต่คอยสนใจเรื่องจริยธรรมอะไรกันมากมาย เดี๋ยวก็ไม่มีอะไรจะกินเท่านั้นเอง 

ประกอบกับประเทศเม็กซิโกก็เคยเป็นคู่แค้นทำสงครามกันมาก่อน เลยกลายเป็นดีที่มีพวกแคลนตั้นมาช่วยทำให้เศรษฐกิจของเมืองขยายตัวรุ่งเรืองต่อไปไม่สะดุดติดขัด แถมได้แก้แค้นประเทศเพื่อนบ้านคู่อริไปด้วยในตัว (เขียนไปเขียนมาทำท่าว่าจะวกกลับมาใกล้บ้านอีกแล้วนะครับ ไม่รู้เป็นยังไง) 

แต่พอเมืองทูมบ์สโตนเจริญรุ่งเรืองมากขึ้น มีการเดินทางติดต่อค้าขายกับเมืองอื่นๆมากขึ้น เงินทองเริ่มเดินสะพัด ลูกสมุนของพวกแคลนตั้นก็เริ่มทำกิจกรรมพิเศษ เพิ่มพูนรายได้ให้กับตนเองบ้าง 

ด้วยการแอบปล้นรถม้าโดยสารที่วิ่งผ่านเข้าออกเมืองทูมบ์สโตน 

เมื่อได้สตังค์มาแล้ว ก็มิได้นำไปใช้ในทางที่เป็นประโยชน์อื่นใด นอกจากรวมหัวกันเข้ามากินเหล้าในเมือง 

และเป็นธรรมเนียมว่า เมื่อเมาแล้วก็ต้องอาละวาดเกะกะระรานชาวบ้านเค้าไปทั่ว ไม่เกรงใจใครเพราะมีลูกพี่เป็นคนสำคัญ 

ชาวบ้านชาวเมืองที่ได้รับผลกระทบกระเทือนจากความไม่ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ถึงได้เริ่มคลางแคลงใจในพฤติกรรมของพวกแคลนตั้น มีการตั้งคำถามเกี่ยวกับจริยธรรม ว่าสมควรแล้วหรือที่จะปล่อยให้ลูกสมุนก่อเรื่องก่อราวได้ตามใจชอบแบบนี้ (ทั้งๆที่เมื่อก่อนก็ไม่เห็นจะสนใจเรื่องจริยธรรมกันซักเท่าไร พอเดือดร้อนบ้างละเอาเชียว) 

แต่ก็มีอีกแยะเหมือนกันที่คิดแค่ว่า ถึงลูกน้องจะนอกคอกไปบ้าง แต่ลูกพี่ก็เป็นผู้ทำคุณประโยชน์แก่ส่วนรวม ขยันขันแข็งเป็นกำลังสำคัญช่วยให้ชาวบ้านอยู่ดีกินดีอีกด้วย ขาดพวกแคลนตั้นเมื่อไรละก็บ้านเมืองต้องกลียุคไปไม่รอดแน่ (อะไรๆแบบนี้) 

หยุดเรื่องของพวกแคลนตั้นไว้ชั่วครู่ก่อนนะครับ หันมาดูฝ่ายเอิ๊ร์ปกันบ้างว่ามีที่มาที่ไปอย่างไร 

พี่น้องเอิ๊ร์ป 4 คนเข้ามาทำมาหากินที่ทูมบ์สโตนในปลายปี ค.ศ.1879 เมื่อมาถึงใหม่ๆ ทุกคนเข้าหุ้นร่วมกันลงทุนทำเหมือง หวังรวยเร็วเหมือนกับคนอื่นๆในทูมบ์สโตนที่มาถึงก่อน และประสบความสำเร็จกันไปแยะแล้ว 

แต่ไม่รู้เป็นเพราะว่าพี่น้องเอิ๊ร์ปโชคไม่ดี หรือมาช้าไปหน่อยก็ไม่ทราบ กลับไม่ค่อยประสบความสำเร็จนักหลังจากเสียสตังค์ไปแยะ เลยต้องแยกย้ายกันไปหางานประจำอื่นทำตามถนัด 

เจมส์ (James) พี่ชายคนโตเข้าทำงานเป็นบาร์เทนเดอร์ในซาลูนชื่อโวแกนส์ (Vogan’s) 

คนรองลงมาคือเวอร์จิล (Virgil) มีตำแหน่งราชการเดิมอยู่ก่อน เป็นผู้ช่วย ยู.เอส. มาร์แชล ประจำเขตปกครองอริโซน่า (เวลานั้นอริโซน่าและรัฐอื่นๆในภาคตะวันตกส่วนใหญ่ ยังมีฐานะเป็นเพียงเขตปกครอง โดยผู้ว่าการที่แต่งตั้งมาจากรัฐบาลกลางในกรุงวอชิงตันอยู่ครับ ไม่ได้ถูกสถาปนาเป็นรัฐมีการเลือกตั้งผู้ว่าการกันได้เองอย่างทุกวันนี้)  

และไม่นานนักก็ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้ช่วยมาร์แชลแห่งเมืองทูมบ์สโตนด้วยอีกตำแหน่งหนึ่ง 

คนถัดมาคือวายแอ็ท (Wyatt) เข้าเป็นหุ้นส่วนในซาลูนชื่อโอเรียนทัล (Oriental Saloon) และรับงานเป็นพลปืนลูกซองผู้คุ้มกันรถโดยสารของบริษัท เวลส์ ฟาร์โก (Wells Fargo) 

คนสุดท้ายได้แก่มอร์แกน (Morgan) ต่อมาเข้ารับงานเป็นผู้คุ้มกันรถโดยสาร เวลส์ ฟาร์โก แทนวายแอ็ท หลังจากที่วายแอ็ทได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้ช่วยเชอร์ริฟแห่งมณฑลพิม่า (Pima County) ในกลางปี ค.ศ.1880 

เมืองทูมบ์สโตน เมื่อต้นปี ค.ศ. 1879
มีประขากรเพียง 900 คน
พี่น้องเอิ๊รป์มาถึงที่นี่เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม ค.ศ. 1879
อีกเพียง 2 เดือนต่อมา ผู้คนพากันหลั่งไหลเข้ามา
เพิ่มจำนวนประชากรขึ้นอีกเท่าหนึ่ง เป็น 1800 คน

ขออนุญาตขยายความ อธิบายข้อเหมือนและข้อแตกต่างระหว่างตำแหน่งมาร์แชล (Marshal) และตำแหน่งเชอร์ริฟ (Sheriff) ที่ใช้กันอยู่ในระบบการปกครองของสหรัฐฯในสมัยนั้นหน่อยนะครับ 

ข้อเหมือนก็คือ ทั้งสองตำแหน่งมีหน้าที่รักษากฎหมาย ดูแลความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง และบังคับใช้อำนาจศาลเหมือนกัน 

ข้อแตกต่างคือ ตำแหน่งเชอร์ริฟจะเป็นตำแหน่งในระดับมณฑล (ใหญ่กว่าเมือง แต่เล็กกว่ารัฐหรือเขตปกครอง) และมาจากการเลือกตั้ง ส่วนตำแหน่งมาร์แชลมีทั้งในระดับเขตปกครองหรือรัฐ และระดับเมือง 

หากเป็นระดับเขตปกครองหรือรัฐ ก็จะเป็นผู้ที่รัฐบาลกลางในวอชิงตันแต่งตั้งให้มาประจำเขตปกครองหรือรัฐนั้นๆ (อาจเป็นคนในพื้นที่อยู่แล้ว หรือส่งมาจากที่อื่นก็ได้)  ชื่อตำแหน่งก็จะเรียกว่า ยู.เอส. มาร์แชล (U.S. Marshal) 

หากเป็นระดับเมือง มักมาจากการเลือกตั้ง และชื่อตำแหน่งก็จะใช้ว่า ซิตี้ หรือ ทาวน์ มาร์แชล (City/Town Marshal) 

ส่วนตำแหน่งผู้ช่วย (Deputy) ทั้งหมดเป็นการแต่งตั้งจากผู้ที่ดำรงตำแหน่งมาร์แชลหรือเชอร์ริฟ โดยส่วนใหญ่ใช้วิธีคัดเลือกจากคนใกล้ชิด หรือไว้วางใจว่าสามารถร่วมงานกันได้ 

พี่น้องเอิ๊ร์ปทั้งหมดเป็นนักพนันมืออาชีพ (ในยุคนั้นการพนันเป็นสิ่งไม่ผิดกฎหมายครับ มิหนำซ้ำได้รับการยอมรับนับถือว่าเป็นอาชีพที่มีเกียรติเสียด้วย) นอกจากนี้ทุกๆคนยกเว้นเจมส์พี่ชายคนโต ยังมีประวัติเคยรับราชการเป็นผู้รักษากฎหมายอยู่ตามหัวเมืองต่างๆในแดนตะวันตกกันมาแล้วก่อนมาอยู่ที่นี่ 

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง วายแอ็ท ค่อนข้างโด่งดังในฐานะอดีตมือปราบคนดังแห่งเมือง ด๊อดจ์ ซิตี้ (Dodge City) และเมืองเถื่อนอีกหลายเมืองในรัฐแคนซัส ที่พวกวายร้ายและอันธพาลทั้งหลายต่างครั่นคร้ามไม่ค่อยอยากจะมีเรื่องมีราวด้วย 

จึงเป็นที่คาดเดาได้ครับว่า การที่พวกเอิ๊ร์ปเข้ามาตั้งหลักปักฐานอยู่ที่ทูมบ์สโตน สองคนมีตำแหน่งเป็นผู้รักษากฎหมาย อีกคนหนึ่งเป็นผู้คุ้มกันรถโดยสารให้ปลอดภัยจากการปล้น ย่อมนำมาซึ่งความไม่สบอารมณ์ของเจ้าถิ่นเก่าอย่างพี่น้องแคลนตั้นและสมัครพรรคพวก ผู้ไม่ค่อยใส่ใจหรือชอบใจกับหลักนิติศาสตร์เท่าไรนัก 

ดูฟอร์มทั่วๆไปแล้ว ฝ่ายเอิ๊ร์ปน่าจะมีเครดิตสร้างคะแนนนิยมจากชาวบ้านได้ไม่ยากนะครับ 

แต่มาติดอยู่เรื่องเดียว ตรงที่วายแอ็ทดันมีเพื่อนซี้ผู้มีนามว่า ด๊อค ฮอลลิเดย์ อดีตหมอฟันผู้ป่วยเป็นวัณโรคและพิษสุราเรื้อรัง มีนิสัยชอบประชดชีวิต ประเภทกลัวไม่มีเรื่องมากกว่ากลัวตาย มีเรื่องกับใครขึ้นมาแล้วเป็นต้องซัดกันถึงขั้นเลือดตกยางออก ฆ่าคนตายอย่างดุเดือดไปแล้วหลายคน 

ถือเป็นตัวก่อความเดือดร้อนรำคาญให้แก่ชาวบ้านเอาการอยู่เหมือนกัน ถึงแม้จะไม่ได้ปล้นจี้ใคร 

สมาชิกฝ่ายเอิ๊ร์ป ผู้เข้ามาตั้งรกรากทำมาหากิน
อยู่ที่เมืองทูมบ์สโตน
ซ้ายบนคือ วายแอ็ท ขวาบนคือ เวอร์จิล
ตรงกลางคือ มอร์แกน ขวาล่างคือ เจมส์
ส่วนซ้ายล่างคือ ด๊อค ฮอลลิเดย์

อาการศรศิลป์ไม่กินกันระหว่างพวกแคลนตั้นและพวกเอิ๊ร์ป เริ่มเด่นชัดเป็นเรื่องเป็นราวมากขึ้น เมื่อม้าของวายแอ็ทเองอยู่ดีๆก็หายไปแล้วไปโผล่อยู่กับ บิลลี่ แคลนตั้น 

จากนั้นไม่นานมีฬ่อของทหารฝูงหนึ่งหายไปอีก ภายหลังพบว่าถูกตีตราใหม่กลายเป็นสมบัติของพวกแม็คลอรี่ 

แต่ที่เริ่มกระทบกระทั่งกันอย่างรุนแรงที่สุดคงจะหนีไม่พ้นเมื่อคืนวันที่ 28 ตุลาคม ค.ศ.1880 เคอร์ลี่ บิล โบรเชียส สมาชิกคนสำคัญของพวกแคลนตั้น นำพรรคพวกมากินเหล้าในเมือง เมาสุราอาละวาด แล้วยิงปืนใส่ เฟร้ด ไว้ท์ ซึ่งเป็นมาร์แชลของเมืองอย่างโหดเหี้ยมในระยะประชิด ขณะที่ เฟร้ด ไว้ท์ เข้ามาเจรจาดีๆขอปลดอาวุธ 

วายแอ็ทผู้เห็นเหตุการณ์เป็นคนแรก รี่เข้ามาคว้าปืนตีหัว เคอร์ลี่ บิล ฟุบลงไป แล้วส่งให้เวอร์จิลนำตัวเข้าคุก พร้อมกับลูกสมุนแคลนตั้นคนอื่นๆที่อยู่ในเหตุการณ์นั้น 

พอถึงเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ.1881 มีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองเกิดขึ้นที่ทูมบ์สโตน เมื่อมณฑลใหม่ถูกตั้งขึ้นโดยแยกตัวออกมาจากมณฑลพิม่าเดิม 

มณฑลใหม่นี้มีชื่อว่าโคชิส (Cochise County) และเมืองทูมบ์สโตนถูกย้ายออกจากมณฑลพิม่า ไปอยู่กับมณฑลโคชิสแทน 

เมื่อมีมณฑลเกิดขึ้นใหม่ ก็มีตำแหน่งเชอร์ริฟใหม่เกิดขึ้นตามมา ใครได้เป็นเชอร์ริฟคนใหม่ก็จะกลายเป็นผู้ปกครองคนใหม่ของเมืองทูมบ์สโตนไปด้วย 

วายแอ็ท เอิ๊ร์ป ลาออกจากตำแหน่งผู้ช่วยเชอร์ริฟแห่งมณฑลพิม่า สมัครเข้าแข่งขันชิงตำแหน่ง และมั่นใจมากว่าจะได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเชอร์ริฟแห่งมณฑลโคชิส (เชอร์ริฟคนแรกเป็นการแต่งตั้งไปก่อนครับ โดยอยู่ในเทอมได้ 1 ปี หลังจากนั้นคนต่อๆไปก็จะมาจากการเลือกตั้ง)

ทั้งนี้เนื่องจากผู้ว่าการเขตอริโซน่าเป็นคนของพรรครีพับลิกัน วายแอ็ทและพี่น้องทุกคนก็เป็นผู้สนับสนุนพรรครีพับลิกันมาตลอด น่าจะเต็งหนึ่งเป็นแขนขาของพรรคได้เป็นอย่างดีในมณฑลที่เกิดใหม่และร่ำรวยทรัพยากรจากเมืองทูมบ์สโตน 

แน่นอนครับว่าตำแหน่งสำคัญอย่างนี้ย่อมต้องมีคู่แข่ง และในที่สุดตำแหน่งเชอร์ริฟใหม่นี้กลับกลายเป็นของนักการเมืองท้องถิ่นหน้าเก่าชื่อว่า จอห์น แฮริส บีแฮน (John Harris Behan) 

จอห์นนี่เป็นคนของพรรคเดโมแครต ไม่ใช่รีพับลิกัน เชื่อกันว่างานนี้ฝ่าดงรีพับลิกันเข้ามาสำเร็จ ก็เพราะผู้ว่าการเขตไม่สามารถปฏิเสธคำขอของ ผู้ใหญ่จากรัฐบาลกลางในวอชิงตันได้ 

จอห์นนี่เป็นผู้มีบุคลิกช่างจำนรรจา เป็นกันเอง ชอบประนีประนอม และออกไปทางกะล่อน (ครบถ้วนคุณสมบัตินักการเมืองที่ประสบความสำเร็จ?) ไม่ถนัดเรื่องบู๊ 

ตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิงกับวายแอ็ทที่เป็นคนค่อนข้างเงียบขรึม เอาจริงเอาจัง และชอบความเด็ดขาด แถมยังเชี่ยวชาญการต่อสู้ด้วยปืนผาหน้าไม้ทุกประเภท 

จอห์น แฮริส บีแฮน
 หรือ จอห์นนี่
เชอร์ริฟคนแรก

ของมณฑลโคชิส
คู่ปรับทางการเมือง

ของวายแอ็ท เอิ๊ร์ป

เล่ากันอีกด้วยครับว่า ในช่วงที่ยังลุ้นกันอยู่ว่าใครจะได้รับแต่งตั้งให้เป็นเชอร์ริฟคนใหม่นั้น จอห์นนี่แอบมาเจรจากับวายแอ็ทว่า หากวายแอ็ทยอมถอนตัวจากการแข่งขันเสีย ปล่อยให้จอห์นนี่ได้เป็นเชอร์ริฟแล้วละก็ 

จะแบ่งเงินรายได้ทั้งหมดที่ได้รับจากตำแหน่งนี้ปีละ 40,000 เหรียญ ให้ครึ่งหนึ่ง (รวมแล้ววายแอ็ทจะได้รับประมาณปีละ 9 แสนบาท ไม่ใช่เล่นๆสำหรับเมื่อ 120 ปีที่แล้วนะครับ) และจะแต่งตั้งวายแอ็ทให้เป็นรองเชอร์ริฟ (Under-Sheriff) รับผิดชอบงานด้านปราบปรามทั้งหมด 

วายแอ็ทคงจะเห็นว่าเข้าท่าดีเหมือนกัน ก็เลยยอมตกลง

แต่จอห์นนี่พอได้เป็นเชอร์ริฟแล้ว กลับเบี้ยวไม่ทำตามสัญญาหน้าตาเฉย 

เหตุผลที่เบี้ยวกันดื้อๆอย่างนี้ ก็เล่ากันต่ออีกว่า เป็นเพราะเมียสาวอายุ 19 อดีตดาราละครเวทีของจอห์นนี่ นาม โจเซฟีน ซาร่าห์ มาร์คัส (Josephine Sarah Marcus) เกิดมาปิ๊งวายแอ็ทเข้า เนื่องจากไม่พอใจที่ถูกจอห์นนี่เลี้ยงเป็นแค่เมียเก็บ ไม่ยอมตกแต่งออกหน้าออกตาตามที่เคยให้สัญญาไว้ 

วายแอ็ทก็ถูกใจซาร่าห์ และทั้งสองเริ่มคบหากันอย่างออกหน้าออกตา สร้างความโกรธแค้นให้จอห์นนี่มาก 

เรื่องนี้อีกกระแสก็เล่าว่า เป็นเพราะวายแอ็ทถูกจอห์นนี่เบี้ยวก่อนต่างหาก จึงแก้แค้นด้วยการแย่งเมีย(มัน)เสียเลย 

จอห์นนี่จึงหันมาคบกับพวกแคลนตั้น ซึ่งมีลูกสมุนเป็นมือปืนอยู่หลายคน เป็นฐานกำลังสนับสนุนเอาไว้คานอำนาจกับฝ่ายเอิ๊ร์ป ซึ่งมีเวอร์จิลดำรงตำแหน่งเป็นทั้งผู้ช่วย ยู.เอส.มาร์แชล และผู้ช่วยซิตี้มาร์แชลประจำเมืองทูมบ์สโตน 

จอห์นนี่เข้าดำรงตำแหน่งเชอร์ริฟไม่กี่วัน ก็เกิดเหตุรถโดยสารสายเมืองเบนสัน (Benson) ถูกปล้นเมื่อวันที่ 15 มีนาคม ค.ศ.1881 คนขับและผู้โดยสารคนหนึ่งถูกยิงตาย 

หน้าตาของรถม้าโดยสาร และสภาพเส้นทางใน
บริเวณภาคตะวันตกเฉียงใต้ของอริโซน่า ในปี ค.ศ. 1879
เมื่อก่อนเขาไปทูมบ์สโตนกันแบบนี้แหละครับ

เวอร์จิล เอิ๊ร์ป นำกำลังหกคนออกตามล่าโจรร่วมกับจอห์นนี่ โดยมีวายแอ็ทและมอร์แกนติดตามไปด้วย 

ไม่กี่วันก็ได้ตัวผู้ต้องสงสัยรายหนึ่งชื่อ ลูเธอร์ คิง ให้การว่าตนไม่ได้เป็นผู้ปล้นฆ่า เพียงแต่คอยจับม้าเอาไว้ให้เท่านั้น และออกชื่อฆาตกรสามคนซึ่งทุกคนรู้จักดีว่าเป็นพวกของแคลนตั้น 

จอห์นนี่ยินยอมอย่างเสียไม่ได้ที่จะนำตัวลูเธอร์ไปขังไว้ เมื่อเวอร์จิลยืนยันว่า ต้องกักตัวไว้ก่อนข้อหามีส่วนร่วม และเอาไว้สอบสวนเพิ่มเติมหาเบาะแสตามจับพวกที่เหลือด้วย 

แต่แล้วลูเธอร์ก็แหกคุกหนีไปได้อย่างลึกลับ ว่ากันว่าด้วยความช่วยเหลือของจอห์นนี่นั่นแหละครับ 

พวกแคลนตั้นไม่ยอมเป็นฝ่ายตั้งรับข้างเดียว ถือโอกาสใช้เหตุการณ์ปล้นรถม้าครั้งนี้ หาเรื่องย้อนรอยพวกเอิ๊ร์ปบ้าง ด้วยการปล่อยข่าวว่า ด๊อค ฮอลลิเดย์ เพื่อนสนิทของวายแอ็ท คุ้นเคยดีกับพวกโจร และมีส่วนร่วมในการปล้น 

และเพื่อให้หนักแน่นสมจริงมากขึ้น ก็เตี๊ยมกับจอห์นนี่ ชวน เค้ท เอลเด้อร์ แฟนของ ด๊อค ฮอลลิเดย์ มาเลี้ยงเหล้าปลอบใจ หลังจากเค้ทเพิ่งจะถูกด๊อคทุบตีเอา 

จอห์นนี่ยุเค้ทให้แก้แค้นด๊อค ด้วยการไปแจ้งความว่า ด๊อคมีส่วนร่วมในการปล้น เค้ททำตาม แจ้งจับด๊อคเมื่อวันที่ 5 มิถุนายน ค.ศ.1881 อ้างว่าพบหลักฐานของกลางในห้องพักที่ทำให้เชื่อได้ว่าด๊อคเกี่ยวข้อง 

ด๊อคถูกจับขังคุก วายแอ็ทต้องตระเวณหาพยานมายืนยันว่า เห็นด๊อคทำอย่างอื่นอยู่ในเมืองในวันเวลาที่มีการปล้น 

แต่แล้วพอถึงวันอัยการนัดสอบสวน เค้ทซึ่งเป็นผู้แจ้งความ กลับหอบผ้าหอบผ่อนหนีออกจากเมืองไปเสียเฉยๆ ไม่ยอมมาให้การหรือพิสูจน์หลักฐาน อัยการจึงปล่อยตัวด๊อคไม่สั่งฟ้อง

งานนี้จึงทำให้วายแอ็ทเกือบจะเสียมวยไปเหมือนกัน 

วายแอ็ทยังไม่ละความต้องการที่จะได้ตำแหน่งเชอร์ริฟแห่งมณฑลโคชิส หลังถูกจอห์นนี่หลอกเอาไปกินเมื่อครั้งก่อน จึงวางแผนลงสมัครรับเลือกตั้งในต้นปี ค.ศ.1882 ให้รู้ดำรู้ดีกับจอห์นนี่อีกครั้ง และพยายามสร้างผลงานให้ชาวบ้านเห็น 

แต่แล้วงานตามจับโจรปล้นรถม้ากลับไปไม่ถึงไหน มิหนำซ้ำต้องมาตามแก้ข้อกล่าวหาให้กับด๊อค ที่ชาวบ้านทุกคนรู้ว่าเป็นเพื่อนสนิทของตนอีกว่าไม่เกี่ยวข้อง 

วายแอ็ทรู้ดีว่าทั้งหมดนี้เป็นฝีมือของจอห์นนี่ทั้งนั้น 

ภาพเขียนฝีมือของ ชาร์ลส์ เอ็ม. รัสเซล
จิตรกรผู้มีชื่อเสียงและผลงานมากมาย
ในการวาดภาพคาวบอยและอินเดียนแดง
จำลองเหตุการณ์ปล้นรถม้าโดยสาร

จอห์นนี่ไม่ได้เป็นนักการเมืองผู้มีความช่ำชองเพียงอย่างเดียวนะครับ ยังมีกระบอกเสียงของตนเองเสียด้วย ได้แก่หนังสือพิมพ์ชื่อ ทูมบ์สโตน เดลี่ นักเก็ต (Tombstone Daily Nugget) ซึ่งเป็นของ แฮรี่ วู้ดส์ (Harry Woods) คนสนิทที่ตัวไว้วางใจ และยังตั้งให้เป็นรองเชอร์ริฟแทนวายแอ็ท 

หนังสือพิมพ์นักเก็ตจะลงแต่บทความเชียร์จอห์นนี่ สนับสนุนพวกแคลนตั้น และตำหนิพวกเอิ๊ร์ป 

แต่นับว่าเป็นโชคดีของพวกเอิ๊ร์ป ที่มีนายกเทศมนตรีของเมืองทูมบ์สโตนชื่อ จอห์น คลัม (John Clum) ผู้เป็นเจ้าของหนังสือพิมพ์ ทูมบ์สโตน เอพิแทฟ (Tombstone Epitaph) คอยให้การสนับสนุน ลงแต่บทความติเตียนจอห์นนี่ว่าเป็นเจ้าหน้าที่บ้านเมืองประเภทรับส่วย กินสินบาทคาดสินบน และให้การสนับสนุนพวกนอกกฎหมาย 

นานวันเข้า ชาวบ้านชาวเมืองก็เริ่มมีความเห็นแตกแยกออกเป็นสองขั้วมากขึ้นทุกทีด้วยอิทธิพลของหนังสือพิมพ์สองฉบับนี้ 

อย่างไรก็ตาม วายแอ็ทยังคงเป็นกังวล ที่ไม่สามารถสร้างผลงานให้ชาวบ้านเห็นเป็นชิ้นเป็นอันได้ ชักจะร้อนรนเมื่อเวลาเลือกตั้งใกล้เข้ามา 

จนในที่สุด ก็ตัดสินใจติดต่อเจรจาอย่างลับๆกับ ไอ๊ค์ แคลนตั้น  แกนนำของฝ่ายตรงข้าม ยื่นข้อเสนอให้ว่า จะยกรางวัลนำจับโจรปล้นรถโดยสารทั้งสามคนที่ยังหลบรอดลอยนวลอยู่นั้นให้ทั้งหมด หากไอ๊ค์บอกที่หลบซ่อนให้ 

ไอ๊ค์ยอมตกลง แต่ภายหลังกลับเปลี่ยนใจ เพราะกลัวว่าพรรคพวกของตนจะไม่ไว้ชีวิต หากรู้ว่าทรยศ 

แต่แล้วไม่นานนัก โจรสามคนที่วายแอ็ทพยายามจะจับให้ได้เพื่อสร้างผลงาน ก็ถูกยิงตายหมด 

คนหนึ่งตายจากการถูกซุ่มยิงโดยตำรวจแม็กซิกัน ในหุบเขาสเกเลตั้น (Skeleton Canyon) หรือหุบเขาโครงกระดูก ขณะกำลังต้อนฝูงวัวที่ตาเฒ่าแคลนตั้น หัวหน้าใหญ่พ่อของไอ๊ค์ นำฝูงเข้าไปขโมยมาจากฝั่งเม็กซิโกด้วยตัวเอง 

คงไม่เป็นเรื่อง หากตาเฒ่าแคลนตั้นไม่เผอิญตายไปพร้อมกันด้วย ไอ๊ค์เชื่อปักใจถึงแม้จะไม่มีหลักฐานว่า พวกเอิ๊ร์ปโดยเฉพาะวายแอ็ทและ ด๊อค ฮอลลิเดย์ จะต้องมีส่วนร่วมในการวางแผนซุ่มยิงครั้งนี้ 

ทางเข้าหุบเขาโครงกระดูก สถานที่ที่ตาเฒ่าแคลนตั้น
พ่อของไอ๊ค์ พร้อมกับโจรขโมยม้าในสังกัดอีกหลายคน
ถูกซุ่มโจมตีจนเสียชีวิต

พอถึงเดือนกันยายนปี ค.ศ.1881 เกิดเหตุปล้นรถโดยสารสายเมืองบิสบี (Bisbee) ขึ้นอีก คนขับให้การว่า หัวหน้าโจรคือ พี้ท สเป๊นซ์ และ แฟร้งค์ สติลเวลล์ สมาชิกคนสำคัญของพวกแคลนตั้น 

หลังจากนั้นไม่กี่วัน ชุดติดตามของเวอร์จิลที่มีวายแอ็ทเป็นผู้ช่วย ก็จับตัวโจรทั้งสองมาได้ แฟร้งค์นั้นดันมีตำแหน่งเป็นผู้ช่วยเชอร์ริฟของจอห์นนี่เสียด้วย การที่แฟร้งค์ถูกจับกุมโดยพวกเอิ๊ร์ปหนนี้จึงนำมาซึ่งความโกรธแค้นของฝ่ายแคลนตั้น และยังทำให้จอห์นนี่ต้องเสียหน้าเป็นอันมาก 

นี่คือฟางเส้นสุดท้ายในการห้ำหั่นกันทางการเมืองของทั้งสองฝ่าย ชาวบ้านเริ่มได้ยินพวกแคลนตั้นพูดกันอย่างเปิดเผยทั่วไปจนหนาหูว่า ถึงเวลาที่จะต้องกำจัดพวกเอิ๊ร์ปกันเสียทีแล้ว 

คืนวันที่ 25 ตุลาคม ค.ศ.1881 ไอ๊ค์ แคลนตั้น เข้ามาในเมืองแต่หัวค่ำ ตระเวณเมาสุราตามซาลูนต่างๆหลายแห่ง และบอกกับทุกคนที่พบว่า จะจัดการเอาพวกเอิ๊ร์ปลงหลุมเสียเร็วๆนี้ 

ตกดึก ไอ๊ค์แวะมาที่อัลฮัมบร้าซาลูน (Alhambra Saloon) เจอเข้ากับ ด๊อค ฮอลลิเดย์ โดยไม่ตั้งใจ 

ด๊อคไม่รอช้า รี่เข้าไปตะคอกถามไอ๊ค์แบบเอาเรื่องว่า กล่าวหากันเรื่องปล้นรถม้าไม่พอ ยังเที่ยวพูดไปทั่วอีกว่าจะจัดการกับพวกเอิ๊ร์ป แน่จริงมายิงกันซะเดี๋ยวนี้ให้จบกันไปเลยเป็นไง  

ไอ๊ค์ตอบว่า วันนี้ไม่ได้พกปืนมา อย่ามาทำกร่างหาเรื่องข่มขู่คนไม่มีทางสู้ ไม่งั้นวันหลังเจอดีแน่  

ด๊อคหันไปยังผู้คนรอบๆข้างที่ยืนสังเกตการณ์ดูอยู่ เอ่ยปากขึ้นว่า ท่านผู้ใดมีปืน กรุณาส่งให้ท่านสุภาพบุรุษผู้กำลังโต้เถียงอยู่กับผมนี้ขอยืมที ผมจะได้ยิงมันได้ถนัดๆหน่อย 

แต่ไม่มีใครยอมเล่นด้วย ด๊อคไม่ยอมลดละ คว้าปืนของตัวออกมาตีไอ๊ค์ด้วยด้าม แล้วตบหน้าซ้ำอีก  หวังยั่วยุเต็มที่ 

ไอ๊ค์ไม่ยอมสู้ ได้แต่ร้องด่าตอบไม่หยุด พอดีเวอร์จิลและมอร์แกนเข้ามาเห็นเหตุการณ์ จึงรีบจับทั้งสองแยกออกจากกัน บอกว่าถ้าไม่หยุดจะจับขังเสียทั้งคู่ฐานก่อความไม่สงบ 

ไอ๊ค์กลับออกไปจากอัลฮัมบร้าซาลูน พบวายแอ็ทเดินสวนมา ก็รี่เข้าไปตะคอกใส่วายแอ็ทบ้างว่า บอกไอ้เพื่อนปอดเน่าตัวแสบของแกด้วย พรุ่งนี้มันต้องไปลงนรกแน่ ตัวแกเองก็เช่นกันระวังให้ดี 

ตอนสายของวันรุ่งขึ้น วันประวัติศาสตร์ พุธที่ 26 ตุลาคม คริสต์ศักราช 1881 (มาถึงเสียทีนะครับหลังจากที่ผมได้บรรยายเรื่องราวปูพื้นมาเสียยืดยาว) 

ไอ๊ค์ แคลนตั้น พกปืนโค้ลท์หกนัด ถือปืนไรเฟิลวินเช้สเตอร์อีกหนึ่งกระบอก เดินตะโกนร้องด่าท้าทายพวกเอิ๊ร์ปมาตามถนนแอลเล็น (Allen Street) เลี้ยวออกถนนสายสี่ (4th Street) ไปสักพักก็เห็น เวอร์จิล เอิ๊ร์ป เดินตามมา 

เวอร์จิลตะโกนถามไอ๊ค์ว่า ได้ยินว่ากำลังตามล่าพวกเราอยู่ใช่มั้ย  

ไอ๊ค์ไม่พูดอะไร เขวี้ยงปืนวินเชสเต้อร์ทั้งกระบอกสวนเข้ามาแทนคำตอบ 

เวอร์จิลคว้าเอาไว้ได้ทัน แล้วคว้าปืนสมิธฯของตัวตีเข้าที่หัวของไอ๊ค์ ลากตัวไปที่ศาลพร้อมปืนของกลางทั้งสองกระบอก ส่งให้มอร์แกนเฝ้าไว้พร้อมกับผู้ช่วยเชอร์ริฟอีกคนหนึ่ง 

วายแอ็ทตามเข้ามาที่ศาลหลังจากทราบข่าวว่าเกิดอะไรขึ้น ทุกคนกำลังรอผู้พิพากษาที่กำลังเดินทางมารับฟังเรื่องราว 

ไอ๊ค์เห็นหน้าวายแอ็ทก็พูดขึ้นว่า พวกแกจะต้องได้รับการตอบแทนอย่างสาสม เสียดายไม่มีปืนอยู่ในมือ ม่ายงั้นเป็นรู้เรื่องกันเดี๋ยวนี้ 

มอร์แกนคงจะเบื่อเต็มที (มองว่าไอ๊ค์มัวแต่เงื้อง่าราคาแพงมาตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว ไม่เห็นไปถึงไหน) เลยบอกไอ๊ค์ว่า ปืนอยู่นี่ไง เอาไปสิ ว่าแล้วก็ส่งปืนโค้ลท์ของไอ๊ค์ที่เวอร์จิลเพิ่งยึดมาคืนให้ 

ไอ๊ค์พรวดพราดลุกยืนขึ้นทำท่าว่าจะเอื้อมมือไปรับ แต่แล้วผู้คุมของศาลก็จับตัวกดลงนั่งไว้ตามเดิม เตือนทั้งสองฝ่ายว่า จะมามีเรื่องยิงกันในศาลไม่ได้เป็นอันขาด 

วายแอ็ทพูดตอบไอ๊ค์อย่างมีอารมณ์ว่า แกมันไอ้พวกโจรถ่อยสกปรก พวกแกพยายามขู่เอาชีวิตพวกเรามานานแล้ว ถือเป็นเหตุผลพอเพียงที่จะยิงแกทิ้งซะที่ไหนก็ได้เมื่อไรก็ได้ แม้แต่ที่บ้านไร่ของแกเอง ต่อให้มีลูกสมุนคุ้มกันเพียบก็อย่าหวังว่าจะรอด 

ไอ๊ค์ตอบว่า รอให้พ้นจากที่นี่ไปก่อนเหอะได้เจอกันแน่ ใช้พื้นที่แค่สี่ฟุตก็พอถมถืดแล้วสำหรับจัดการกับแก 

วายแอ็ทไม่อยู่ต่อความยาว ลุกออกจากศาลไป ชนโครมเข้ากับ ทอม แม็คลอรี่ ซึ่งตามเข้ามาเพื่อจะมาดูไอ๊ค์ว่าเป็นอะไรหรือเปล่าที่หน้าประตูศาล และคงจะได้ยินการโต้เถียงกันด้วย 

ทอมตะคอกใส่หน้าวายแอ็ทว่า ถ้าอยากยิงกันละก็ เจอกันที่ไหนก็ได้  

วายแอ็ทสวนกลับทันทีว่า ที่นี่เลย! แล้วตบหน้าทอมด้วยมือซ้าย มือขวาชักปืนสมิธฯออกจากซอง บอกทอมว่า เอาซิ! ชักปืนของแกออกมาเดี๋ยวนี้  

ทอมไม่ยอมชักปืน แต่วายแอ็ทเล่นไม่เลิก ตีหัวทอมด้วยปืนในมือซ้ำเข้าไปอีกทีจนล้มลงไปกองอยู่กับพื้น
พอเห็นทอมไม่ยอมสู้จริงๆ ก็เดินจากไป 

ไอ๊ค์ออกมาจากศาลประมาณบ่ายโมงกว่าๆ หลังถูกเปรียบเทียบปรับไป 25 เหรียญข้อหารบกวนความสงบ ไปสมทบกับทอมและพรรคพวกที่ติดตามมาอีก 3 คน ได้แก่บิลลี่น้องชายของตัว แฟร้งค์พี่ชายของทอม และ บิลลี่ เคลย์บอร์น (Billy Claiborne) ที่ร้านปืนบนถนนสายสี่ 

แฟร้งค์โกรธมากหลังจากได้ยินเรื่องราวที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อรู้ว่าทอมน้องชายถูกวายแอ็ทข่มขู่รังแก 

เสร็จธุระแล้ว ทั้งหมดออกจากร้านปืนบนถนนสายสี่ เลี้ยวซ้ายไปตามถนนแอลเล็น (Allen Street) เข้าไปที่คอกสัตว์โอเค หรือ โอเค คระราล นี่แหละครับ เดินทะลุหลังคอกไปออกถนนฟรีม้องท์ (Fremont Street) เลี้ยวซ้ายเดินต่อไปอีกหน่อยจนถึงซอยๆหนึ่ง หัวมุมปากซอยเป็นร้านถ่ายรูปซึ่งชั้นบนเปิดเป็นอพ้าร์ทเม้นท์ชื่อ ฟลายส์ แกลเลอรี่ เจ้าของคือ คามิลลุส เอส. ฟลาย (Camillus S. Fly) เป็นช่างภาพฝีมือดีที่คนทั้งเมืองรู้จัก 

และเป็นที่รู้กันทั่วไปด้วยว่า ด๊อค ฮอลลิเดย์ พักอาศัยอยู่ที่นี่ 

หน้าตาของ "ชุดไล่ล่า" ที่ทางบ้านเมืองรวบรวมขึ้น
จากบรรดาเจ้าหน้าที่และพลเรือนอาสาสมัคร
ขณะพร้อมออกปฏิบัติหน้าที่ติดตามไล่จับโจร
คนที่อยู่ตรงกลางในภาพนี้คือ คามิลลุส เอส. ฟลาย
ช่างภาพผู้มือชื่อเสียงของทูมบ์สโตน และเจ้าของ
ร้านถ่ายรูป ซึ่งอยู่ข้างสถานที่เกิดเหตุยิงกัน
ระหว่างพวกเอิ๊ร์ปกับพวกแคลนตั้น

พวกแคลนตั้นทั้งห้าเลี้ยวเข้าไปชุมนุมกันอยู่ที่ปากซอยข้างร้านฟลายส์แกลเลอรี่ ระหว่างการเคลื่อนกำลังของพวกแคลนตั้นไปตามเส้นทางนั้น ชาวบ้านที่เห็นเหตุการณ์เริ่มพูดกันปากต่อปากว่า พวกเอิ๊ร์ปท่าจะลำบากแน่ 

มีคนหนึ่งมาบอกกับเวอร์จิล ซึ่งยืนสังเกตการณ์ร่วมกับเชอร์ริฟจอห์นนี่อยู่หน้า ฮัฟฟอร์ดส์ ซาลูน (Haffords’ Saloon) หัวมุมถนนสายสี่กับถนนแอลเล็นว่า พวกนั้นเอาจริงแน่ ทุกคนมีปืน ท่านมาร์แชลควรจะรีบไปหยุดยั้งไว้ก่อนที่เรื่องราวจะบานปลายไปมากกว่านี้ 

ขณะนั้นเป็นเวลาประมาณเกือบบ่ายสองโมง เวอร์จิลพูดขอร้องจอห์นนี่ ให้ไปร่วมเจรจาปลดอาวุธพวกแคลนตั้นด้วยกัน 

จอห์นนี่บอกว่า ไม่ได้หรอก ขืนมีพวกเอิ๊ร์ปไปด้วยเดี๋ยวก็ได้ยิงกันตายเสียก่อน  แล้วปัญหาก็อยู่ในเขตตัวเมืองนะ น่าจะเป็นความรับผิดชอบของซิตี้มาร์แชลมากกว่า ไม่ใช่หน้าที่ของเชอร์ริฟซะหน่อย แต่เอาเถอะเดี๋ยวจะไปช่วยพูดให้เอง (กลายเป็นบุญคุณไปอีกแน่ะ) 

จอห์นนี่ล่วงหน้าหลบไปหาพวกแคลนตั้นที่ข้างฟลายส์แกลเลอรี่ก่อน พยายามเจรจาขอให้ทุกคนวางอาวุธ แต่ได้รับการปฏิเสธ 

ไอ๊ค์กับทอมตอบว่าไม่มีปืน บิลลี่น้องชายไอ๊ค์บอกว่า กำลังจะออกจากเมืองไปอยู่แล้ว แฟร้งค์บอกว่า กลับไปปลดอาวุธพวกเอิ๊ร์ปก่อนซิ พวกมันเพิ่งขู่หยกๆว่าจะเก็บพวกเรา ส่วนบิลลี่ เคลย์บอร์นบอกว่า ตัวไม่ได้เกี่ยวอะไรด้วย และกำลังจะกลับบ้าน 

ข้างเวอร์จิล หลังจากถูกจอห์นนี่ปฏิเสธไม่ยอมร่วมสังฆกรรมด้วย ก็ตัดสินใจเดินหน้าต่อ แต่ไม่กล้าไปคนเดียว ต้องชวน วายแอ็ท มอร์แกน และด๊อค ไปเป็นกำลังสนับสนุนด้วย 

เวอร์จิลส่งปืนลูกซองแฝดให้ด๊อค บอกให้ซ่อนไว้ในเสื้อโค้ต จะได้ไม่ดูประเจิดประเจ้อหรือยั่วยุจนเกินไป ตัวเองรับไม้เท้าของด๊อคมาถือไว้ ทั้งหมดออกเดินไปตามถนนสายสี่ เลี้ยวซ้ายเข้าถนนฟรีม้องท์ 

เวอร์จิลเดินคู่กับวายแอ็ทนำหน้า มอร์แกนกับด๊อคตามหลัง (เวลาดูหนังมักจะเห็นเดินเรียงเป็นหน้ากระดานมาทีเดียวสี่คนเสมอไม่ว่าเรื่องไหน ผู้กำกับคงจะเห็นว่าทำให้ดูหนักแน่นขึงขังน่าเกรงขาม สร้างอารมณ์ให้คนดูตื่นเต้นเร้าใจดีกว่าเดินมาเป็นแถวตอนเรียงสอง แต่ในความเป็นจริงเราๆท่านๆก็คงนึกออกนะครับว่า ขืนเดินเรียงมาเป็นแผงติดกันอย่างงั้นจริงๆละก็ ฝ่ายตรงข้ามร้องหวานหมูเลย) 

ฮอลลีวู้ดจำลองภาพเหตุการณ์ ขณะพวกเอิ๊ร์ปเดิน
เข้าเผชิญหน้ากับพวกแคลนตั้นก่อนเกิดการดวล
จากภาพยนตร์เรื่ิอง
กันไฟ้ท์ แอ็ท เดอะ โอเค คระราล
ออกฉายครั้งแรกเมื่อราวปี ค.ศ. 1958
ฉากเดียวกันอีก 36 ปี ต่อมา จากภาพยนตร์เรื่อง
ทูมบ์สโตน

จวนจะถึงฟลายส์สตูดิโอไม่กี่ก้าว จอห์นนี่ก็โผล่ออกจากซอยเดินสวนมาขวางทางไว้ พูดกับพวกเอิ๊ร์ปว่า ถอยกลับไปเถอะอย่าให้ต้องเดือดร้อนกันดีกว่า ตราบใดที่ตนยังเป็นเชอร์ริฟอยู่จะยอมให้เกิดเรื่องขึ้นไม่ได้ (อ้าวเมื่อกี้เพิ่งพูดหยกๆว่าเป็นความรับผิดชอบของซิตี้มาร์แชล) 

พวกเอิ๊ร์ปไม่สนใจ ลุยต่อไปจนถึงปากซอย ระหว่างนี้ มีคนได้ยินมอร์แกนพูดกับด๊อคว่า เอามัน! และด๊อคตอบว่า โอเค  

สองฝ่ายเข้าเผชิญหน้าห่างกันไม่เกิน 5 ฟุต มีใครอีกคนได้ยินวายแอ็ทพูดว่า แกไอ้พวกลูกไม่มีพ่อคอยจ้องหาเรื่องมาตลอด บัดนี้ถึงเวลาแล้ว! 

เวอร์จิลตะโกนบอกพวกแคลนตั้นว่า ทุกคนยกมือขึ้น และในเสี้ยววินาทีที่ทุกคนกำลังกลั้นหายใจอยู่นั้น ก็มีเสียง กริ๊ก! ดังขึ้น 

เวอร์จิลได้ยินเสียงกริ๊กนี้ก็ใจเสีย ร้องตะโกนเสียงหลงออกมาว่า หยุดก่อน! ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น 

แต่ไม่มีใครสนใจฟัง การดวลอย่างดุเดือดเริ่มขึ้นแล้ว 

แผนที่เมืองทูมบ์สโตน ทีทำขึ้นจาก
ข้อมูลและหลักฐานของปี ค.ศ. 1881
แสดงที่ตั้งของคอกโอเค
เส้นทางที่พวกแคลนตั้นและ
พวกเอิ๊ร์ปใช้ในการเคลื่อนทัพ
และสถานที่เกิดการเผชิญหน้า
จนยิงกันในที่สุด
(ตรงลูกศรใหญ่ที่มีคำบรรยายว่า
ACTUAL SITE OF THE GUNFIGHT)
จำลองบรรยากาศการเผชิญหน้าและยิงกัน
ให้เห็นชัดๆว่าระยะประชิดขนาดไหน

เสียงปืนดังถี่ยิบนับแทบไม่ทัน มาลองฟังบรรยากาศของการยิงกัน จากคำให้การของผู้เห็นเหตุการณ์จริงดูนะครับ ส่วนจะเชื่อถือได้มากน้อยแค่ไหนนั้นไม่แน่ใจ (รายแรกดูเป็นพวกจอมจุ้น ชอบสอดรู้สอดเห็น แล้วมาคุยโวว่าตัวสัมผัสเหตุการณ์ใกล้ชิดกว่าใคร อะไรแบบนั้น) 

“… ผมได้ยินใครคนหนึ่งในพวกเอิ๊ร์ปพูดว่า ทิ้งปืนเสียดีๆ ผมคิดว่าผมอยู่ใกล้เกินไปหน่อยจึงหลบออกห่าง ระหว่างนั้นผมได้ยินเสียงปืนสองนัด จากนั้นก็ดังขึ้นอีกแบบหูดับตับไหม้ ผมเห็น ไอ๊ค์ แคลนตั้น วิ่งหนีเข้าไปในฟลายส์แกลเลอรี่ คิดว่ามีคนยิงไล่หลังไปอีกสองนัด ส่วน ทอม แม็คลอรี่ วิ่งออกไปที่ถนนฟรีม้องท์ก่อนจะล้มลง บิลลี่ แคลนตั้น ยืนอยู่กับที่ ผมเห็นเขายิงสองหรือสามนัดจากท่าหมอบ นัดหนึ่งโดน มอร์แกน เอิ๊ร์ป ล้มลง แต่แล้วก็ลุกขึ้นมาและเริ่มยิงใหม่  เวลานั้น แฟร้งค์ แม็คลอรี่ ออกมาที่ถนนเดินเข้าไปหา ด๊อค ฮอลลิเดย์ ได้ยินเสียงโต้ตอบกัน แฟร้งค์ตะโกนว่า แกเสร็จฉันแน่! ขณะที่ยิงออกไปนัดนึง โดนฮอลลิเดย์เข้าไม่ที่สะโพกก็ที่ซองปืน ผมตะโกนใส่ฮอลลิเดย์ว่า แกเสร็จมันแล้วโว้ย! เขาตะโกนตอบผมว่า เออว่ะ! ฉันถูกยิงทะลุเป็นรูเลย จากนั้นแฟร้งค์ก็ข้ามถนนไปอีกฝั่งหนึ่งแล้วล้มลง ผมคิดว่า บิลลี่ แคลนตั้นคงถูกยิง แต่ยังนั่งท่าหมอบและยิงออกไปสองนัด นัดหนึ่งโดนมาร์แชลเอิ๊ร์ป วายแอ็ทกับมอร์แกนต่างยิงใส่บิลลี่เมื่อเห็นเขาลุกขึ้นได้ แต่แล้วก็ล้มลง ปืนยังอยู่ในมือ ผมบอกไม่ได้ว่าพวกแคลนตั้นยกมือยอมแพ้หรือเปล่า แต่เห็นมือของ บิลลี่ แคลนตั้น อยู่ที่ปืนหลังจากเสียงปืนสองนัดแรกดังขึ้น …” 

ลองฟังดูอีกสักรายนะครับว่าเหมือนหรือต่างกันแค่ไหน (ขานี้ฟังดูเหมือนพวกชอบของที่ระลึก คอยจ้องจะถอดสร้อยถอดนาฬิกาโรเล็กซ์เวลาเห็นรถคว่ำ อะไรแบบนั้น) 

“ … ผมได้ยินเสียงปืนดังขึ้น ก่อนหน้านั้นผมจับตาดูพวกเอิ๊ร์ปและฮอลลิเดย์ตลอด ผมเห็น ด๊อค ฮอลลิเดย์อยู่ที่กลางถนน น้องคนเล็กของพวกเอิ๊ร์ปอยู่ห่างจากทางเท้าประมาณสามฟุต เขายิงใส่คนที่อยู่ข้างหลังม้า ด๊อค ฮอลลิเดย์ ยิงใส่คนที่อยู่ข้างหลังม้าเหมือนกัน และยังไล่ยิงคนที่วิ่งผ่านเขาไปที่อีกฝั่งของถนนด้วย ผมเห็นคนที่มีม้านั้นปล่อยม้าไป ตัวเองเดินโซซัดโซเซก่อนจะล้มลง เขายังถือปืนอยู่เลย ผมไม่เห็นพี่ๆเอิ๊ร์ปอีกสองคน ผมไม่รู้ว่าเขาอยู่ตรงไหน จากนั้นผมก็เดินเข้าไปดูหนุ่มคนที่นอนอยู่กับพื้นข้างทางเท้า อาสาจะช่วยพยุงเขาขึ้น เขาไม่พูดอะไรเลยเอาแต่ขยับปากไปมา ผมหยิบปืนลูกโม่ที่ตกอยู่ห่างจากเขาประมาณห้าฟุต  แล้วก็เห็น ด๊อค ฮอลลิเดย์ ถือปืนลูกโม่วิ่งมาที่หนุ่มคนนั้น ตะโกนว่า ไอ้ลูกไม่มีพ่อตัวนี้ยิงฉัน ฉันจะฆ่ามัน ...บอกไม่ได้ว่าฝ่ายไหนเริ่มยิงก่อน ... ไม่เห็นว่ามีใครยกมือหรือเปล่า ตอนนั้นผมอยู่ไกลเกินไป …” 

สถานที่จริงที่เกิดการดวล
ในภาพคือถนนฟรีม้องท์ในปัจจุบัน
พวกแคลนตั้นชุมนุมกันอยู่ที่
ด้านหลังของกำแพงที่เห็นอยู่ขวามือ
(สมัยนั้นเป็นซอยแยกจากถนน
เข้าไป ไม่มีกำแพงปิดอย่างที่เห็น)
พวกเอิ๊ร์ปเดินมาตามถนนนี้
สวนทางกับรถที่เห็นจอดอยู่
แล้วเลี้ยวเข้าไปเผชืญหน้า
กับพวกแคลนตันตรงปากซอย
บนกำแพงมีป้ายจารึกเหตุการณ์
บรรยายความว่า
"ณ จุดนี้ พวกเอิร์ปและพวก
แคลนตั้นพบกัน เมื่อวันที่
26 ตุลาตม ค.ศ. 1881
เพื่อยุติความบาดหมาง
ที่โด่งดังที่สุดในตะวันตก
ด๊อค ฮอลลิเดย์ หยุดอยู่บนถนน
ฟรีม้องท์ ไม่กี่ฟุตจากตรงนี้
แฟร้งค์และทอม แม็คลอรี่
สุดท้ายก็ล้มลงบนถนนฟรีม้องท์
บิลลี่ แคลนตัน ตายตรงที่ตัวเองยืนอยู่
เวอร์จิลและมอร์แกน เอิ๊ร์ป ได้รับบาดเจ็บ"

ผลการต่อสู้อย่างเป็นทางการหลังจากเสียงปืนสงบลงแล้ว ฝ่ายแคลนตั้นเสียชีวิตไปสามคน ได้แก่พี่น้องทอมกับ แฟร้งค์ แม็คลอรี่ และ บิลลี่ แคลนตั้น 

สองคนที่รอดคือ บิลลี่ เคลย์บอร์น ตัดสินใจวิ่งหนีหายตัวไปเสียตั้งแต่เห็นพวกเอิ๊ร์ปเดินเข้ามา 

ส่วน ไอ๊ค์ แคลนตั้น ตัวดีผู้มีส่วนสำคัญในการทำให้เกิดโศกนาฏกรรมแก่พี่น้องและพรรคพวกของตัวเองครั้งนี้ วิ่งหนีเอาตัวรอดไปในระหว่างที่มีการยิงกัน อ้างว่าตัวเองไม่มีปืน 

ฝ่ายเอิ๊ร์ปบาดเจ็บสาหัสสอง ได้แก่เวอร์จิลโดนยิงทะลุน่อง มอร์แกนโดนเข้าที่สีข้าง 

ด๊อค ฮอลลิเดย์ บาดเจ็บเพียงเล็กน้อยโดนกระสุนถากสะโพกไปหน่อยเดียว 

ส่วน วายแอ็ท เอิ๊ร์ป ไม่เป็นอะไรเลย 

(บางหลักฐานกล่าวว่า) วายแอ็ทและเวอร์จิล เอ๊ร์ป
ต่างใช้ปืน สมิธแอนด์เว้สสัน ขนาด .44
ในการดวลกับพวกแคลนตั้น
ของวายแอ็ทเป็นรุ่นหมายเลข 3
ส่วนของเวอร์จิลเป็นรุ่นใหม่กว่า
คือ นิวโมเดลหมายเลข 3 ชุบนิคเกิ้ลพร้อมด้ามงา

ส่วน แฟร้งค์ แม็คลอรี่ และ บิลลี่ แคลนตั้น
สองในสามของผู้เสียชีวิตจากการดวลกับพวกเอิ๊ร์ป
ต่างใช้ปืน โค้ลท์ ซิงเกิ้ล แอ๊คชั่น อาร์มี่ ขนาด .44-40
รุ่นนี้นิยมเรียกกันว่า ฟร้อนเทียร์  (Frontier)
ไม่เหมือนรุ่นพี่ขนาด .45 ที่นิยมเรียกกันว่า
พี๊ซเม้คเก้อร์  (Peacemaker)

นี่คือสิ่งที่พวกคาวบอยมุง และชาวบ้านอีกหลายคน ได้เห็นกันต่อหน้าต่อตาของตนในย่านใจกลางเมืองทูมบ์สโตน เวลากลางวันแสกๆ เมื่อ 120 ปีที่แล้วครับ 

การดวลนี้ใช้เวลาไม่ถึง 30 วินาที ทั้งสองฝ่ายใช้กระสุนไปทั้งหมดรวมกัน 30 กว่านัด 

มาถึงตรงนี้ ผมขอเปลี่ยนใจ ไม่สรุปความเห็นว่าฝ่ายใดเป็นฝ่ายผิดฝ่ายถูก ทำการควรแก่เหตุหรือไม่หรือมีแรงจูงใจที่แท้จริงอย่างไร ท้ายที่สุดแล้วใครเป็นผู้สมควรถูกยกย่องหรือประณามละนะครับ 

ขออนุญาตคิดนอกกรอบกับเขาบ้างตามสมัยนิยมว่า กันไฟ้ท์ แอ็ท เดอะ โอเค คระราล นี้ อาจถือได้ว่าเป็นการแข่งขันปืนสั้นรณยุทธ์ผสมลูกซองครั้งแรก และมีชื่อเสียงที่สุดของโลก เท่าที่เคยมีการบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ 

นับเป็นที่สุดของที่สุดแห่งการดวลอย่างแท้จริง 

ใน กันส์ เวิล์ด ฉบับหน้า ผมจะบรรยายถึงเรื่องราวที่ตามมาหลังจากการดวลครั้งประวัติศาสตร์นี้ต่อนะครับ

เราจะมาดูว่า แกนนำของแต่ละฝ่าย คือ วายแอ็ท เอิ๊ร์ป และ ไอ๊ค์ แคลนตั้น พูดถึงรายละเอียดของการดวลว่าอย่างไรบ้าง และเมื่อคดีถึงศาลแล้ว ศาลตัดสินอย่างไร หลังคำตัดสินแล้ว มีวิพากษ์วิจารณ์กันอุตลุดเหมือนคดีดังบ้านเราที่เพิ่งจบไปหรือไม่ แล้วก็สมัยนั้นเขากดดันศาล และคุกคามสื่อกันอย่างไร 

ท่านผู้อ่านโปรดติดตามให้ได้นะครับ

มาร์แชลต่อศักดิ์
ตุลาคม 2544