ใน กันส์ เวิล์ด ฉบับที่แล้ว เราได้ยินได้ฟังชื่อเสียงกิตติศัพท์ของ เจมส์ บัทเล่อร์ หรือ ไวลด์ บิล ฮิกค็อก ถึงเรื่องความเก่งกล้าสามารถในการต่อสู้ ฝีมือการยิงปืนอันแม่นยำ และชีวิตอันโลดโผนโจนทะยาน จากสื่อมวลชนร่วมสมัย ทั้งอย่างเป็นทางการและไม่เป็นทางการ ทั้งที่ (คงพอจะ) เชื่อถือได้ (บ้าง) และ (ท่าทางคงจะ) เชื่อถือไม่ได้ (เลยซักนิดเดียว) จำนวนมากมาย
ท้าทายมันสมองของพวกเราทุกคน ให้ช่วยกันย่อยข่าวสาร ว่าอะไรจริงอะไรโกหกกันอย่างสนุกสนาน เป็นการอุ่นเครื่องไปแล้วนะครับ
เรื่องราวได้ดำเนินมาถึงตอนที่ว่า ไวลด์ บิล เข้าสู่วงการผู้รักษากฎหมาย กลายเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์อย่างเต็มตัว หลังจากได้รับเลือกตั้งให้เป็นเชอร์ริฟแห่งมณฑลเอ็ลลิสในรัฐแคนซัส เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม ค.ศ.1869
หน้าที่ความรับผิดชอบของเชอร์ริฟ
ความจริงแล้วก็ไม่ได้แตกต่างไปจากตำรวจสักเท่าไหร่หรอกครับ เคยมีผู้รู้เปรียบเทียบไว้ว่า
หากเป็นบ้านเราก็หมายถึงตำรวจภูธรนั่นเอง
ต่างกันเพียงแค่
ของเราไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง เท่านั้น (เลยไม่รู้ว่าเป็นโชคดีหรือโชคร้ายของชาวบ้านนะครับ)
การเลือกตั้งครั้งนี้
เป็นการเลือกตั้งซ่อมแทนเชอร์ริฟคนเก่าผู้ต้องพ้นตำแหน่งไป
ทั้งๆที่เหลือเวลาอีกเพียง 3 เดือนก็จะครบเทอม
(ไม่ทราบเหมือนกันครับว่าทำไมไม่อยู่ต่อให้ครบ
แต่คงไม่ใช่เพราะโดนใบแดงใบเหลืองแน่ สงสัยจะเป็นใบมรณบัตรเสียมากกว่า)
มณฑลเอ็ลลิส
มีเมือง ฟอร์ท เฮย์ส (Fort
Hays) หรือชื่อเป็นทางการว่า เฮย์ส ซิตี้ เป็นเมืองเอก
หน้าตาของ ฟอร์ท เฮย์ส หรือ เฮย์ส ซิตี้ เมืองเอกของมณฑลเอ็ลลิสในแคนซัส ไวลด์ บิล ฮิกค็อก เข้ารับหน้าที่ ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์เป็นครั้งแรกที่นี่ |
ชื่อก็บอกเป็นนัยๆนะครับว่าเป็นเมืองทหาร
เนื่องจากเวลานั้นสงครามกับพวกอินเดียนแดงยังติดพันอยู่
และยังเป็นเมืองที่ขึ้นชื่อว่า เถื่อนระดับแนวหน้า อีกเมืองหนึ่ง
เต็มไปด้วยนักเลงอันธพาลและผู้ชอบก่อความไม่สงบ ไม่สมกับเป็นเมืองทหารซักนิดเดียว
ไวลด์
บิล เมื่อได้รับตำแหน่งแล้ว ก็สร้างความมั่นใจให้ประชาชนอย่างเต็มกำลัง
ด้วยการออกตรวจท้องที่ด้วยตัวเองอย่างขยันขันแข็งยิ่งกว่า ม.ท.1
แถมสร้างภาพอีกเล็กน้อย
ด้วยการโชว์ปืนโค้ลท์คู่ใจของตนไว้สองข้างเอว
พกมีดโบวี่ด้ามเขื่องแนบไว้กับรองเท้าบู๊ทข้างหนึ่ง
ปืนเดอริงเจอร์กระบอกจิ๋วเสียบไว้กับบู๊ทอีกข้างหนึ่ง แถมด้วยลูกซองอีกกระบอกหนีบไว้ข้างตัว
เมื่อรวมกับชื่อเสียงอันโด่งดังติดตัวมาตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว
ก็ทำให้เกิดความน่าเกรงขามแก่ผู้พบเห็นขึ้นอีกเป็นหลายเท่า
แต่ยิ่งมีชื่อเสียง กลับยิ่งมีคนอยากลองของครับ
ไม่นานหลังจากเข้ารับตำแหน่ง มีพวกอยากดังคนหนึ่งชื่อ ซัลลิแวน เอสเตส (Sullivan Estes) เกิดอยากจะมีชื่อเสียงให้โลกลือว่าตนเป็นผู้ปราบ ไวลด์ บิล ลงได้
หาโอกาสในคืนหนึ่ง ระหว่างที่ ไวลด์ บิล กำลังออกตรวจตราตามปกติ แอบซ่อนอยู่ตรงหัวมุมตึกไม่ให้ใครเห็น รอคอยจังหวะเหมาะ
พอ
ไวลด์ บิล เดินมาตามทางเท้าเข้ามาใกล้จะถึงตัว ก็กระโดดออกมาจ๊ะเอ๋ขวางไว้
มือถือปืนง้างนกพร้อมยิง ชี้ไปที่หน้าอกของ ไวลด์ บิล พลางถามว่า เป็นไง
แบบนี้จะเอาตัวรอดได้มั้ย
แค่นั้นยังไม่พอ
หันไปตะโกนเรียกชาวบ้าน ให้เข้ามาดูกันแยะๆเป็นสักขีพยานอีก บอกว่า อย่าลืมช่วยกันเอาไปเล่าต่อนะว่า
ฉันเองนี่แหละเป็นคนปราบ ไวลด์ บิล เห็นชัดๆต่อหน้าต่อตาเลย
ไวลด์
บิล อาศัยเวลาขณะซัลลิแวนกำลังคุยเฟื่องกับชาวบ้านอยู่นี้ ค่อยๆขยับมือเข้าไปหาซองปืนโดยไม่มีใครทันสังเกต
และด้วยความเร็วยิ่งกว่าสายฟ้าแลบ
กระตุกโค้ลท์ออกมาจากซองข้างขวา ง้างนกตั้งแต่ปืนยังไม่พ้นซอง ยิงเข้าใส่ซัลลิแวน ล้มคว่ำลงทันทีนัดเดียวจอด
ท่ามกลางความตกใจและคาดไม่ถึงของชาวบ้าน ที่ซัลลิแวนเรียกมาดูนั่นแหละว่า เหตุการณ์จะพลิกผันกลายเป็นแบบนี้
ไวลด์
บิล เก็บปืนเข้าซอง มองดูศพของซัลลิแวนอย่างสมเพช แล้วเอ่ยขึ้นมาสั้นๆเพียงว่า “มันตายเพราะมัวแต่พล่ามแท้ๆ...”
อย่างไรก็ตาม
เหตุการณ์ครั้งนี้ได้ให้บทเรียนแก่ ไวลด์ บิล
และกลายเป็นตำราอีกข้อหนึ่งที่ไม่มีการเขียนไว้อย่างเป็นทางการ
ให้บรรดามือปราบและมือปืนรุ่นหลังๆจำไปใช้กันอย่างแพร่หลาย ว่า
ในเขตใจกลางเมือง
อันเต็มไปด้วยตึกรามบ้านช่องหนาแน่นสองข้างทางนั้น
เดินคนเดียวกลางถนนลดความเสี่ยงจากการถูกลอบโจมตีแบบกระทันหันในระยะประชิดได้มากกว่าเดินบนทางเท้า
ทั้งยังสามารถมองเห็นตลอดสองข้างทางได้ในมุมกว้างกว่า
(ไม่เหมือนบ้านเรานะครับ ที่เดินกลางถนน เสี่ยงต่อการถูกรถทับมากกว่าเดินบนทางเท้า แต่ก็ยังต้องเดินกลางถนนอยู่ เพราะบนทางเท้าไม่มีที่ให้เดิน)
แผนที่เมือง เฮย์ส ซิตี้ เมื่อปี ค.ศ. 1869 ช่วงเวลาเดียวกับที่ ไวลด์ บิล มีตำแหน่ง เป็นเชอร์ริฟแห่งมณฑลเอ็ลลิส |
จากนั้น
ไวลด์ บิล ยังคงถูกนักเลงดีลองของอีก รายหนึ่งชื่อ บิล มัลวีย์ (Bill Mulvey) เป็นนักเลงอันธพาลมาจากมิสซูรี่ กินเหล้าอยู่ในซาลูนแล้วเมาสุราอาละวาด
ชักปืนยิงใส่โคมไฟและหน้าต่างแตกเสียหายหมด
ไวลด์
บิล เข้ามาจัดการ สั่งให้ทิ้งปืนและมอบตัวเสียดีๆ ก็ยังไม่ยอม กลับจ้องปืนมาที่
ไวลด์ บิล แทน และขู่ว่า ถ้าไม่ถอยกลับไปละยิงแน่
แต่แล้ว
กลับถูกลูกไม้ตื้นๆของ ไวลด์ บิล แกล้งทำเป็นมองข้ามไหล่เลยไปข้างหลัง
ตีหน้าตายพูดกับใครไม่รู้ว่า เฮ้! อย่าเพิ่งยิงมัน
แค่นี้
มัลวีย์ก็หลงกลหันไปพะวงหลัง เปิดโอกาสให้ ไวลด์ บิล ชักปืนออกมายิงนัดเดียว หงายท้องลงไปกองสิ้นใจกับพื้น
อีกรายหนึ่ง เกิดขึ้นในเดือนถัดมา
ระหว่างที่ ไวลด์ บิล กำลังเข้าควบคุมความสงบเรียบร้อยในซาลูน ก็มีอันธพาลชื่อ
แซมมวล สตรอฮัน (Samuel
Strawhun) ขัดขืนและพยายามชักปืนจะยิง ไวลด์ บิล
แต่ผลยังเป็นไปตามความคาดหมาย
คือ ไวลด์ บิล หนนี้คงจะคึก หรือไม่ก็อยากมันมาก
ชักปืนโค้ลท์เนวี่ของตนทีเดียวทั้งสองกระบอกยิงพร้อมกัน ถูกสตรอฮันหงายเก๋งไปเสียก่อนที่จะได้ทันเหนี่ยวไก
ไวลด์
บิล สมัครลงเลือกตั้งอีกครั้ง เมื่อถึงการเลือกตั้งรอบปกติ ในเดือนพฤศจิกายนปีเดียวกัน
ด้วยผลงานเพียง 3 เดือนสามารถทำวิสามัญไปได้ 3 ศพ
บ้านเมืองดูจะเป็นระเบียบเรียบร้อยดีขึ้น
แต่ประชาชนกลับไม่ค่อยเห็นด้วยกับวิธีการปราบปรามอย่างรุนแรงเด็ดขาด
เห็นว่าโหด และดูป่าเถื่อนเกินไปไม่ค่อยจะศิวิไลซ์
ถึงผู้ร้ายจะขัดขืนต่อสู้การจับกุม แต่ก็ไม่จำเป็นต้องถึงขั้นทำวิสามัญ เอาแค่บาดเจ็บแล้วส่งตัวขึ้นศาลตามกระบวนการยุติธรรมก็ได้
ถึงผู้ร้ายจะขัดขืนต่อสู้การจับกุม แต่ก็ไม่จำเป็นต้องถึงขั้นทำวิสามัญ เอาแค่บาดเจ็บแล้วส่งตัวขึ้นศาลตามกระบวนการยุติธรรมก็ได้
ไวลด์
บิล ก็เลยไม่ได้รับเลือกตั้ง ต้องสอบตกไปตามระเบียบ
ถึงจะพ้นจากตำแหน่งเชอร์ริฟไปแล้ว
ไวลด์ บิล ก็ยังวนเวียนอยู่แถวเมือง เฮย์ส ซิตี้ ไม่ได้ไปไหน
จนกระทั่งถึงหน้าร้อนของปี ค.ศ. 1870
คืนวันที่
17 กรกฎาคม ขณะกำลังกินเหล้าและเล่นไพ่อยู่ในซาลูน ไวลด์ บิล
ก็เกิดมีเรื่องเข้ากับทหาร 2 คน คนหนึ่งชื่อ เจอร์รี่ โลนเนอร์แกน (Jerry
Lonergan) อีกคนหนึ่งชื่อ จอห์น ไคล์ (John Kile)
รายงานแจ้งว่า
ไวลด์ บิล ซึ่งขณะนี้เป็นอดีตนายตำรวจ ถูกทหาร 2 คนนี้ทำร้ายก่อน
(ไม่รู้เผลอไปขอตรวจบัตรเค้าจนถูกเขม่นโดนตบหน้าหรือเปล่านะครับ
ชื่อขึ้นต้นด้วย จ.จานทั้งคู่เสียด้วย)
จากนั้น
ทหารคนชื่อจอห์นก็ชักปืนขึ้นจะยิงใส่ ไวลด์ บิล แต่แก๊ปดันด้านปืนเลยไม่ลั่น
และก่อนที่เพื่อนจะช่วยยิงตาม
หรือตัวเองจะทันง้างนกยิงใหม่อีกครั้ง ไวลด์ บิล ก็ชักโค้ลท์คู่ใจทั้งสองกระบอกยิงสองนัดพร้อมๆกัน
ถูกเข้าจังๆทั้งสองคนคนละนัดพอดีไม่มีพลาด
เจอร์รี่บาดเจ็บสาหัส
ส่วนจอห์นนั้น เป็นอันต้องจรลีหนีลงปรโลกไปเลย
ข้าง
ไวลด์ บิล นั้นก็ฉลาดพอตัว รู้ว่าพวกนี้ ถึงจะเป็นเพียงทหารนอกแถวกระจอกๆ แต่ก็มีต้นสังกัดอยู่กับกองพันทหารม้าที่
7
ของคัสเตอร์ อันเป็นหน่วยทหารที่มีชื่อเสียงว่า รักพวกพ้องและยึดมั่นในศักดิ์ศรีเหนือสิ่งอื่นใด
(ผลสุดท้ายถึงได้ถูกอินเดียนแดงรุมกินโต๊ะเสียเกลี้ยง ไม่มีใครรอดกลับมา)
ขืนยังคงป้วนเปี้ยนอยู่แถวนี้ คงต้องรับมือกับทหารทั้งกองพันแน่ (ตายไม่กลัวกลัวเหนื่อย อะไรทำนองนั้น)
ขืนยังคงป้วนเปี้ยนอยู่แถวนี้ คงต้องรับมือกับทหารทั้งกองพันแน่ (ตายไม่กลัวกลัวเหนื่อย อะไรทำนองนั้น)
จึงหายตัวไปจาก
เฮย์ส ซิตี้ ไม่อยู่ให้ใครเห็นหน้าค่าตาอีก
คัสเตอร์
ในฐานะผู้บังคับบัญชาสูงสุดของกองพัน เคยเป็นผู้บังคับบัญชาของ ไวลด์ บิล
มาก่อนสมัยเมื่อ ไวลด์ บิล ยังทำงานเป็นกองสอดแนมให้
คงเป็นผู้เดียวที่รักศักดิ์ศรีของทหารจริงๆ
และลึกๆคงแอบชอบใจที่ ไวลด์ บิล ช่วยกำจัดทหารมาเฟียออกไปจากกองทัพ โดยตัวไม่ต้องจัดการเองให้เหนื่อย
และลึกๆคงแอบชอบใจที่ ไวลด์ บิล ช่วยกำจัดทหารมาเฟียออกไปจากกองทัพ โดยตัวไม่ต้องจัดการเองให้เหนื่อย
นอกจากจะไม่ได้ติดใจตามเอาเรื่อง
กับ ไวลด์ บิล และไม่มามัวเสียเวลาทำตัวเป็นกาวใจแล้ว
สี่ปีต่อมายังเขียนหนังสือชื่นชมและยกย่องความเก่งกล้าสามารถของ ไวลด์ บิล
ไว้เสียด้วย
อีกไม่ถึง
1 ปีต่อมา เดือนเมษายน ค.ศ.1871 ไวลด์ บิล กลับเข้าทำหน้าที่ผู้รักษากฎหมายอีกครั้ง
ได้รับแต่งตั้งให้เป็นมาร์แชลของเมืองแอ๊บบิลีน (Abilene) ซึ่งในเวลานั้น เป็นเมืองชุมทางปศุสัตว์ที่คึกคักที่สุดในแคนซัส
เต็มไปด้วยคาวบอยและนักเลงจากเท็กซัส มาเกะกะเกเรและเมาสุราอาละวาดกันมากมาย จนเอาไม่อยู่
เต็มไปด้วยคาวบอยและนักเลงจากเท็กซัส มาเกะกะเกเรและเมาสุราอาละวาดกันมากมาย จนเอาไม่อยู่
ตำแหน่งมาร์แชลประจำเมืองนี้ ก็อีกแหละครับ
ไม่ต่างจากตำรวจเหมือนกัน และต่างกับเชอร์ริฟเพียงแค่รับผิดชอบเฉพาะในเขตเมืองที่ได้รับแต่งตั้งเท่านั้น
สำหรับ
ไวลด์ บิล การเข้ารับตำแหน่งนี้ จะถือเป็นการลดชั้นก็ไม่เชิง
เพราะแอ๊บบิลีนขณะนั้นเป็นเมืองใหญ่ มีกิจกรรมคึกคักมากมายกว่ามณฑลอื่นๆในแคนซัส อีกหลายมณฑล
มาร์แชลคนก่อนหน้านี้ชื่อ
ทอม สมิธ (Tom
Smith) เป็นนักสู้มีฝีมือ และเป็น “สุภาพบุรุษมือปราบ”
ขนานแท้ คือให้โอกาสโจรกลับใจก่อนทุกครั้ง และใช้มือจริงๆ
คือกำปั้นแต่เพียงอย่างเดียวในการปราบ ไม่เคยใช้ปืน
สมัยที่แอ๊บบิลีนยังเป็นเพียงเมืองบ้านไร่เล็กๆสงบๆ
ไม่มีคนต่างถิ่นเข้ามาเกะกะ การปราบผู้ร้ายด้วยกำปั้นคงไม่ลำบากยากเย็นนัก
แต่พอบ้านเมืองเข้าสู่ยุคโลกาภิวัฒน์ไร้พรมแดนไร้ขีดจำกัด
มีคนต่างถิ่นร้อยพ่อพันแม่แห่กันเข้ามาก่อเรื่องก่อราวมากมาย
จะใช้แต่ภูมิปัญญาชาวบ้านเข้าต่อกร (หมายถึงใช้กำปั้นอีกนั่นแหละครับ) เพียงอย่างเดียว โดยไม่ยอมพึ่งพาเทคโนโลยีอะไรเลยย่อมจะไม่ได้ผล
จะใช้แต่ภูมิปัญญาชาวบ้านเข้าต่อกร (หมายถึงใช้กำปั้นอีกนั่นแหละครับ) เพียงอย่างเดียว โดยไม่ยอมพึ่งพาเทคโนโลยีอะไรเลยย่อมจะไม่ได้ผล
และในที่สุด
ทอม สมิธ ก็ถูกพวกคาวบอยจากเท็กซัส ใช้เทคโนโลยีของบริษัทโค้ลท์กำจัดทิ้งไป
ทอม สมิธ มาร์แชลของเมืองแอ็บบิลีน ผู้ต้องเสียชีวิตไปก่อนเวลาอันควร เพียงเพราะไม่ยอมพกปืน |
ดังนั้นเมื่อ
ไวลด์ บิล เข้ารับตำแหน่งมาร์แชลต่อจาก ทอม สมิธ จึงประกาศนโยบายแบบคิดใหม่ทำใหม่จริงๆ
ไม่หลอกลวงและไม่ห่วงคะแนนเสียงว่า
ตั้งแต่นี้ไป
รับรองได้เลยว่า จะใช้อาวุธเพียงอย่างเดียวเท่านั้นในการรักษาความสงบ
ขอให้พวกนักกวนเมืองทั้งหลาย จงรีบจับรถไฟสายตะวันออก หรือไม่ก็ตะวันตก เดินทางไปให้พ้นจากเมืองแต่โดยดีเร็วที่สุด มิฉะนั้นจะถูกจับส่งขึ้นสายเหนือแทน
ขอให้พวกนักกวนเมืองทั้งหลาย จงรีบจับรถไฟสายตะวันออก หรือไม่ก็ตะวันตก เดินทางไปให้พ้นจากเมืองแต่โดยดีเร็วที่สุด มิฉะนั้นจะถูกจับส่งขึ้นสายเหนือแทน
คำว่าสายเหนือของ
ไวลด์ บิล หมายถึงสุสานบู๊ทฮิลล์ ที่ทุกคนรู้จักดีว่า ตั้งอยู่ชานเมืองทางทิศเหนือนั่นเอง
โฉมหน้าเมืองแอ๊บบิลีน ยุคที่ ไวลด์ บิล เข้ารับหน้าที่เป็นมาร์แชลต่อจาก ทอม สมิธ |
โจเซฟ
แม็คคอย (Joseph
McCoy) นายกเทศมนตรีผู้ก่อตั้งเมืองแอ๊บบิลีน และเป็นผู้ไปเทียบเชิญ
ไวลด์ บิล มารับตำแหน่งมาร์แชลต่อจาก ทอม สมิธ ด้วยตัวเอง กล่าวไว้ในภายหลังว่า
“ไวลด์ บิล ใช้กฎเหล็ก … และเราจำเป็นต้องใช้วิธีนี้ในการจัดระเบียบสังคม
เราไม่มีเวลาให้กับกระบวนการของศาลหรือกฎหมายอีกต่อไป
หากเราเห็นว่าเรื่องไหนเป็นสิ่งที่ต้องทำเราก็ลงมือเลย ไวลด์ บิล
เข้ามาช่วยชำระล้างทำความสะอาดให้กับบ้านเมืองของเรา
แต่เราจำเป็นต้องกำจัดไอ้พวกวายร้ายหลายรายให้สิ้นซากไปพร้อมๆกันด้วย”
ไอ้พวกวายร้าย
ที่ว่านี้
อย่างน้อยก็พบหลักฐานอยู่สองสามคนครับ
คนแรกได้แก่
จอห์น เวสลี่ย์ ฮาร์ดิน (John
Wesley Hardin) ไอ้หนุ่มอายุ18 ปีจากเท็กซัส ผู้ซึ่งต่อมามีชื่อเสียงระบือไกลทั่วดินแดนตะวันตกในฐานะฆาตกรจอมโหดที่น่ากลัวที่สุด
และเขียนหนังสืออัตตชีวประวัติเรื่องชีวิตของตัวเองไว้หลังจาก ไวลด์ บิล
เสียชีวิตไปแล้ว 19 ปี
คุยว่าตัวเองสามารถลบเหลี่ยม ไวลด์ บิล ได้ด้วยการใช้ลูกไม้ โร้ด เอเย่นท์ สปิน (Road Agent Spin) คือหลอกส่งปืนให้ทางด้าม แล้วควงตวัดกลับหันปากกระบอกเข้าหาคนรับ (รายละเอียดพร้อมภาพสาธิตวิธีการเล่นลูกไม้แบบนี้ ผมได้เคยบรรยายไว้ในคาวบอยกับปืนคู่ใจ ตอนคาวบอยชักปืน ครับ)
คุยว่าตัวเองสามารถลบเหลี่ยม ไวลด์ บิล ได้ด้วยการใช้ลูกไม้ โร้ด เอเย่นท์ สปิน (Road Agent Spin) คือหลอกส่งปืนให้ทางด้าม แล้วควงตวัดกลับหันปากกระบอกเข้าหาคนรับ (รายละเอียดพร้อมภาพสาธิตวิธีการเล่นลูกไม้แบบนี้ ผมได้เคยบรรยายไว้ในคาวบอยกับปืนคู่ใจ ตอนคาวบอยชักปืน ครับ)
บรรยายรายละเอียดว่า
“ … ไวลด์ บิล ชักปืนออกมาและพูดว่า ทิ้งปืนให้หมด แกถูกจับแล้ว ผมตอบว่า ได้เลย และดึงปืนทั้งสองข้างออกมาจากซองส่งให้ แต่ในขณะที่เขากำลังยื่นมือเข้ามาจะรับ ผมก็ดึงมันกลับ ควงขวับหันปากกระบอกทั้งคู่จิ้มไปที่หน้าเขาแล้วกระโดดถอยหลังออกมา ผมบอกให้เขาทิ้งปืนและเขาก็ทำตามโดยดี …”
เสียดายครับที่ไม่สามารถปลุก
ไวลด์ บิล ขึ้นจากหลุมมาให้การตอบโต้ จนทุกวันนี้เลยยังไม่สามารถทราบได้ว่า ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร
จอห์น เวสลี่ย์ ฮาร์ดิน วายร้ายจาก เท็กซัส ผู้อวดอ้างว่าเคย ใช้ลูกไม้ลบเหลี่ยม ไวลด์ บิล ได้ |
แต่บรรดานักค้นคว้าและนักวิจารณ์ส่วนใหญ่
ต่างเชื่อว่า จอห์น เวสลี่ย์ ฮาร์ดิน หากไม่เป็นโรคอัลซไฮเม่อร์ ก็ต้องโม้ลูกเดียวครับ
เหตุผลคือ
หนึ่ง
ไวลด์ บิล ในวัย 34 ผู้รอบจัดและช่ำชองด้วยฝีมือและประสบการณ์ ไม่มีทางหลงเชื่อลูกไม้ตื้นๆ ของเด็กอายุ
18 โดยง่าย
สอง
อธิบายไม่ได้ว่า ไวลด์ บิล ยื่นมือออกมาจะรับปืน 2
กระบอกจากฮาร์ดินได้อย่างไร ขณะที่ตัวเองกำลังถือปืนขู่ฮาร์ดินอยู่
และสาม
นอกจากฮาร์ดินแล้ว ไม่พบว่ามีใครที่ไหนบันทึกเหตุการณ์นี้ไว้อีก
ตรงกันข้าม
มีแต่บันทึก (ซึ่งฮาร์ดินเองก็เขียนไว้ตอนท้ายๆเหมือนกัน) ว่า ฮาร์ดินต้องเผ่นหนีการตามจับกุมของ
ไวลด์ บิล กับผู้ช่วยอีก 4 คนอย่างหัวซุกหัวซุน
และไม่เคยเหยียบย่างกลับมาที่แอ๊บบิลีนให้ ไวลด์ บิล เห็นหน้าอีกเลย
วายร้ายอีก
2 คนก็มาจากเท็กซัส คนหนึ่งชื่อ เบ็น ทอมป์สัน (Ben Thompson) เป็นพวกมือปืนนามอุโฆษอีกเหมือนกัน
มาพร้อมกับเพื่อนชื่อ ฟิล โค (Phil Coe) ร่วมกันเปิดกิจการซาลูนขึ้นชื่อ
Bull’s Head ซึ่งผมจะขอแปลเป็นไทยว่า บาร์หัววัว นะครับ
ลำพังเฉพาะกิจการของบาร์หัววัวนี้ก็ไม่มีอะไร แต่ดันมาเป็นปัญหาเอาตรงตัวป้ายชื่อที่ติดอยู่หน้าร้าน เมื่อ ไวลด์ บิล มาเห็นเข้าแล้วบอกว่า ป้ายนี้มีภาพบางส่วนไม่เหมาะสม เข้าข่ายลามกอนาจาร ไม่สมควรแสดงไว้ในที่สาธารณะ
และใช้อำนาจในฐานะมาร์แชล
ออกคำสั่งให้ ฟิล โค ในฐานะผู้จัดการร้าน
นำป้ายนี้ไปแก้ไขส่วนที่ไม่เหมาะสมเสียให้เรียบร้อย
ไม่ทราบเหมือนกันครับว่าป้ายดังกล่าวเป็นภาพอะไร
และไม่เหมาะสมอย่างไร
บางหลักฐานก็พูดทำนองว่า นายโคผู้เป็นเจ้าของร้านหัววัว ทำป้ายชื่อร้านเป็นรูปวัวตัวใหญ่ แต่ดันมีรูปหัวกระบือ (ในภาษาลาว) ของวัวโชว์ไว้ด้วย ไม่ได้มีเฉพาะรูปวัว (หวังว่าอ่านแล้ว คงพอเข้าใจว่าหมายความว่าอย่างไร ไม่งงกันเสียก่อนนะครับ)
ฝ่ายทอมป์สันและโคนั้นโวยวายลั่น
เห็นเป็นการกลั่นแกล้ง ตอบโต้ว่า ไวลด์ บิล มีอคติต่อชาวเท็กซัส
แถมยังรับเงินจากคู่แข่งของบาร์หัววัว
เรื่องอคติกับชาวเท็กซัสนั้นคงจะจริง
เพราะเคยมามีเรื่องมีราวกับ ไวลด์ บิล ไปก่อนหน้านี้หลายคนแล้ว
ส่วนเรื่องรับเงินนั้น ก็คงเหมือนสมัยนี้นั่นแหละครับ คือหาใบเสร็จไม่ได้
แต่เมื่อทั้งทอมป์สันและโค
ต่างดื้อดึงไม่ยอมทำตามคำสั่ง ไวลด์ บิล
ก็สั่งการ ให้ลูกน้องหาช่างมาทาสีทับ เฉพาะส่วนของป้ายที่ว่าไม่เหมาะสมนั้นไว้
เพื่อไม่ให้ใครมองเห็น
โดยตัวเองยืนถือปืนลูกซอง ควบคุมดูแลเองอย่างใกล้ชิด
การกระทำของ
ไวลด์ บิล สร้างความไม่พอใจให้ทั้งทอมป์สันและโคมาก ทอมป์สันถึงจะเป็นมือปืน
แต่ก็ครั่นคร้ามฝีมือ ไวลด์ บิล อยู่เหมือนกันไม่กล้าชน
พยายามติดต่อว่าจ้าง จอห์น เวสลี่ย์ ฮาร์ดิน ให้ช่วยเก็บ ก็ไม่ได้รับความร่วมมือ แถมสุดท้ายชิงหนีไปก่อนเสียอีก
พยายามติดต่อว่าจ้าง จอห์น เวสลี่ย์ ฮาร์ดิน ให้ช่วยเก็บ ก็ไม่ได้รับความร่วมมือ แถมสุดท้ายชิงหนีไปก่อนเสียอีก
จนภายหลัง ทอมป์สันมีความจำเป็นส่วนตัว
ต้องย้ายออกจากแอ๊บบิลีนกลับไปอยู่เท็กซัส
เลยไม่มีโอกาสได้ประลองความไวและความแม่นยำกัน
ทิ้งโคไว้อยู่รับชะตากรรมแต่เพียงผู้เดียว
เบ็น ทอมป์สัน เสือร้ายจากเท็กซัส อีกคนหนึ่ง ที่มีเรื่องกับ ไวลด์ บิล แต่ไม่มีโอกาสได้พิสูจน์ฝีมือกัน |
ทิ้งโคไว้อยู่รับชะตากรรมแต่เพียงผู้เดียว
ชะตากรรมที่ว่า
มาถึงเมื่อวันที่ 5 ตุลาคม ค.ศ.1871
คืนนั้น มีงานรื่นเริงประจำปีของกลุ่มชาวนาชาวไร่
ไวลด์ บิล ออกคำสั่งเด็ดขาด ห้ามพกปืนและยิงปืนในเมืองระหว่างมีงานรื่นเริงนี้
และกำชับให้เจ้าหน้าที่คอยสอดส่าย ระมัดระวังพวกคาวบอยจากเท็กซัสเป็นพิเศษ
ตกดึก
ฟิล โค เดินร่วมกลุ่มมากับคาวบอยเท็กซัสฝูงใหญ่ ต่างเมากันเพียบ
เดินตะโกนร้องเพลงเอะอะโวยวายมาตามถนน
โคนั้นไม่ได้เป็นนักเลงปืน และปกติไม่ค่อยพกปืน คืนนั้นเกิดครึ้ม หรือถูกลูกยุ หรือหมั่นไส้ใครที่ไหนจนเต็มที่ก็ไม่ทราบ คาดเข็มขัดพกปืนหรามาด้วย
แค่นั้นไม่พอ
ชักชวนพรรคพวกยิงปืนขึ้นฟ้าอย่างสนุกสนาน เป็นการฉลองหรือยั่วยุก็ไม่รู้อีกเหมือนกัน
ไวลด์
บิล ได้ยินเสียงปืน ก็รีบออกมาดู พบโคกับคาวบอยทั้งฝูง (ยังหมายถึง ฟิล โค อยู่นะครับ ไม่ใช่วัวหนึ่งตัวกับคาวบอยหนึ่งฝูง)
ในมือยังถือปืนยกปากกระบอกขึ้นชี้ฟ้าค้างอยู่
ไวลด์
บิล ถามว่า “คืนนี้ห้ามพกปืนและห้ามยิงปืน รู้กันดีทั่วหน้าแล้วไม่ใช่หรือ”
โคตอบว่า
“ก็แค่ยิงหมาข้างถนนเท่านั้นเอง ไม่ได้ตั้งใจจะให้หนักหัวใคร”
ได้รับคำตอบแบบนี้
ก็เป็นเรื่องซิครับ ไวลด์ บิล เริ่มผรุสวาทใส่ ฟิล โค เสียๆหาย
ต่อหน้าพวกคาวบอยที่ยืนรอดูท่าทีกันอยู่ว่าจะเอายังไงดี
เหตุการณ์จะพาไปหรือไม่ก็แล้วแต่
โคตัดสินใจลดปืนลง จ้องยิงใส่ ไวลด์ บิล คิดว่าตัวเองได้เปรียบ
แต่ไม่แม่นพอ
กระสุนวิ่งออกข้างโดนแค่เสื้อโค้ตทะลุเป็นรูไป
ฝ่าย
ไวลด์ บิล ไม่เคยรอช้า ชักปืนออกมายิงตอบ กระสุนทะลุหน้าท้องของ ฟิล โค
ล้มคว่ำลง เลิกหายใจไปเดี๋ยวนั้น
และแล้ว
เรื่องอันไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เมื่อ ไวลด์ บิล รีบหมุนตัวไปข้างหลัง
ยิงอีกนัดทันทีเข้าใส่คนที่กำลังวิ่งเข้ามาหาตัว ด้วยนึกว่า พวกของโคตามมาลอบจะทำร้ายจากด้านหลัง
ท่ามกลางความตื่นตะลึงของพวกคาวบอย และชาวบ้านผู้ล้อมดูเหตุการณ์อยู่
ท่ามกลางความตื่นตะลึงของพวกคาวบอย และชาวบ้านผู้ล้อมดูเหตุการณ์อยู่
เพราะผู้ถูกยิงตายไปอีกคนนั้น
กลายเป็น ไม้ค์ วิลเลี่ยมส์ (Mike Williams) ผู้ช่วยคนสนิทของ
ไวลด์ บิล ที่รีบตามมาช่วยเหลือ ด้วยความเป็นห่วงว่า ไวลด์ บิล
จะรับมือพวกคาวบอยคนเดียวไม่ไหว
ไวลด์
บิล โกรธจัด และเสียใจกับการกระทำของตัวเองครั้งนี้มาก
พาลเจ็บแค้นพวกคาวบอยจากเท็กซัส
หาว่าเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดเหตุเศร้าสลดนี้ขึ้น
คืนนั้นจึงอาละวาด
ด้วยการยิงโคมไฟและหน้าต่างบาร์ที่เป็นของพวกเท็กซัส
พร้อมกับท้าทายพวกคาวบอยทุกคนให้ออกมายิงกัน แต่ไม่มีใครยอมรับคำท้า
จากความผิดพลาดครั้งนี้
ไวลด์ บิล จึงเริ่มสำนึกและคิดได้ว่า การใช้มาตรการปราบปรามแบบ “ยิงก่อน ถามทีหลัง” สไตล์มือปราบปืนโหด ที่ตัวยึดถือปฏิบัติมาโดยตลอดไม่เคยเปลี่ยนแปลงนั้น
อาจไม่ใช่วิธีที่ดีที่สุดเสมอไป
และ
ไม้ค์ วิลเลี่ยมส์ กลายเป็นคนสุดท้ายที่ถูกบันทึกไว้ว่า เสียชีวิตด้วยน้ำมือของ
ไวลด์ บิล
ไวลด์
บิล พ้นจากตำแหน่งมาร์แชลของเมืองแอ๊บบิลีน ในเดือนธันวาคม ค.ศ.1871 เมื่อพวกคาวบอยเท็กซัสพากันต้อนวัวไปขึ้นรถไฟยังเมืองอื่นที่ใกล้กว่าแทน
ทำให้เมืองแอ๊บบิลีนกลับสู่ความสงบเหมือนเดิม ไม่จำเป็นต้องใช้ความรุนแรงในการแก้ปัญหาอีกต่อไป
หลังจากร่อนเร่ไปตามเมืองต่างๆในแถบโคโลราโดและแคนซัสได้อีกพักหนึ่ง
ไวลด์ บิล ก็หันหลังให้กับวงการผู้พิทักษ์สันติราษฎร์อย่างสิ้นเชิง
หันไปเริ่มต้นและแจ้งเกิดใหม่ ในวงการที่ไม่มีใครคาดถึง
คือ
วงการนักแสดงครับ หรือจะเรียกว่าวงการบันเทิงก็คงไม่ผิดนัก
นักแสดงที่ว่านี้
ไม่ได้หมายถึงการแสดงหนังหรือละครเวที เป็นเรื่องราวมีตอนต้นตอนจบ มีพระเอก นาง
เอก ผู้ร้าย ตัวอิจฉา น้ำเน่ามากบ้างน้อยบ้าง หรืออะไรทำนองนี้หรอกครับ
แต่ออกไปทางคล้ายๆการแสดงละครสัตว์มากกว่า
เป็นการโชว์ความสามารถในสไตล์พิชิตตะวันตก ซึ่งยังเป็นที่ตื่นเต้นฮือฮาของชาวตะวันออกอยู่
ส่วนใหญ่นักแสดงจะโชว์ทักษะในการล่าสัตว์ ยิงปืนแม่น และขี่ม้าโลดโผน เรื่องหล่อเรื่องสวยไม่สำคัญ ต้องฝีมือเพียงอย่างเดียว
ส่วนใหญ่นักแสดงจะโชว์ทักษะในการล่าสัตว์ ยิงปืนแม่น และขี่ม้าโลดโผน เรื่องหล่อเรื่องสวยไม่สำคัญ ต้องฝีมือเพียงอย่างเดียว
การแสดงในลักษณะนี้
เป็นที่รู้จักและเรียกกันโดยทั่วไปว่า ไวลด์ เวสท์ โชว์ (Wild West
Show)
ไวลด์
บิล เข้าสังกัดคณะนักแสดงของอดีตนายทหารผู้หนึ่ง
ที่เคยรู้จักกันตั้งแต่สมัยทำหน้าที่กองสอดแนม นามว่า พันเอก ซิดนีย์ บาร์เน็ตต์ (Colonel
Sidney Barnett) และออกแสดงสองครั้ง ใกล้ๆน้ำตกไนแอการ่า (Niagara
Falls) ใน นิว ยอร์ค เมื่อเดือนสิงหาคม ค.ศ.1872
ช่วงนี้แหละครับ
ที่ ไวลด์ บิล
โชว์ฝีมือแม่นปืนให้ผู้ชมเห็นเป็นประจักษ์พยานมากมาย ว่าเหลือเชื่อขนาดไหน
ดังผมได้บรรยายไว้ตั้งแต่ตอนต้นของเรื่องในฉบับที่แล้ว
พร้อมทั้งชวนให้มีการพิสูจน์กันนั่นแหละครับ
คำร่ำลือเรื่องความแม่นปืน
ดังไปถึงนาย โรเบิร์ต เอ. เคน (Robert A.
Kane) บรรณาธิการของหนังสือชีวิตกลางแจ้ง หรือ Outdoor Life จนต้องดั้นด้นมาติดต่อขอพบ ไวลด์ บิล ด้วยตัวเอง
เลยได้รับชมการแสดงฝีมือแม่นปืน แถมให้เป็นการส่วนตัว และบันทึกสิ่งที่ตัวเห็น ให้ผู้อ่านในยุคนั้นได้ทราบอย่างละเอียด
ผมจะขออนุญาตถอดความเต็มๆ ให้ท่านผู้อ่านในยุคนี้ได้ทราบอย่างละเอียดเท่าเทียมกันนะครับ
ส่วนจะเชื่อหรือไม่อย่างไรนั้น คงแล้วแต่ศรัทธา
“
เมื่อพวกเราไปถึงโรงแรมที่พัก
คุณฮิกค็อกได้ออกมาต้อนรับด้วยอัธยาศัยไมตรีอันดียิ่ง ขนอาวุธส่วนตัวมากมายหลายชิ้นออกมาให้พวกเราได้ชม
และเสนอว่าจะแสดงการยิงปืนให้ดูนิดหน่อย ถ้าหาที่ว่างๆนอกเมืองได้
ดังนั้นเราจึงพากันออกไปแถวๆชานเมืองในตอนบ่าย
อาวุธของคุณฮิกค็อกเป็นปืนลูกโม่โค้ลท์ซิงเกิ้ลแอ๊คชั่น ขนาด .44 สองกระบอก
ทั้งคู่มีด้ามจับเป็นมุก ตัวปืนชุบเงินทั้งกระบอกและแกะลวดลายอย่างมีรสนิยม
นอกจากนั้นแล้วยังมีปืนลูกโม่เรมิงตันขนาดเดียวกันอีกคู่หนึ่งด้วย
ปืนโค้ลท์ซึ่งหน้าตาดูโก้กว่าถูกนำมาใช้ในการแสดง
เมื่อหาที่ที่เหมาะสมได้แล้ว คุณฮิกค็อกก็ลงมือให้ความสำราญกับพวกเรา ด้วยการแสดงความสามารถในการยิงปืนอันเยี่ยมยอดที่สุด
ถือเป็นโชคมหาศาลที่ผมมีโอกาสได้มาเห็นด้วยตาของตนเอง
ยืนอยู่บนรางรถไฟซึ่งวางอยู่ในร่องลึก
เสียงปืนของเขาดังขึ้นเป็นระยะๆอย่างสม่ำเสมอราวกับเสียงนาฬิกาเรือนเก่าที่บ้าน
เขายิงถูกก้อนหินที่นำมาทาสีขาวก่อนแล้วจับไปฝังไว้กับตลิ่ง แตกหลุดออกมาหมดจากระยะสิบห้าหลา
ยืนอยู่ห่างจากผู้ยิงที่ระยะประมาณสามสิบหลา
สมาชิกคนหนึ่งในคณะของพวกเราโยนกระป๋องขนาดหนึ่งควอร์ทขึ้นไปบนอากาศสูงประมาณสามสิบฟิต
กระป๋องถูกเจาะเป็นรูสามครั้งก่อนตกถึงพื้น
สองครั้งจากการยิงด้วยมือขวาและอีกครั้งด้วยมือซ้าย
ยืนอยู่กลางถนนระหว่างรั้วสองข้างซึ่งห่างกันประมาณห้าหลาครึ่ง
คุณฮิกค็อกมีสัญชาตญานในการบอกตำแหน่งที่แม่นยำมาก ขนาดยิงสองนัดให้ลูกกระสุนฝังไว้กับเสารั้วที่อยู่ตรงข้ามกันได้ข้างละลูก
สองนัดที่ว่านี้เป็นการยิงทีเดียวพร้อมๆกัน
วางตำแหน่งตัวเองอยู่ระหว่างเสาโทรเลขสองต้น
เขายิงนัดแรกถูกเสาต้นหนึ่ง
แล้วหมุนตัวกลับไปยิงอีกนัดถูกเสาอีกต้นหนึ่งด้วยปืนกระบอกเดียวกัน เสาโทรเลขแถวนั้นปักห่างกันประมาณหนี่งในสามสิบส่วนของไมล์
หรือประมาณหนึ่งร้อยเจ็ดสิบฟิต
วางอิฐสองก้อนไว้บนรั้ว
แต่ละก้อนห่างกันราวสองฟิต และห่างจากผู้ยิงราวสิบห้าฟิต อิฐทั้งสองก้อนแตกละเอียดจากการยิงสองนัดด้วยมือทั้งสองข้าง
เสียงปืนดังใกล้เคียงกันมากจนฟังเหมือนนัดเดียว
ทีเด็ดอยู่ที่การแสดงอันดับสุดท้าย
คุณฮิกค็อกขว้างกระป๋องขนาดหนึ่งควอร์ทออกไปข้างหน้าให้ตกลงห่างจากตัวประมาณสิบหรือยี่สิบหลา
แล้วชักปืนทั้งสองข้างออกมา ยิงสลับกันจากซ้ายไปขวา
เดินไปข้างหน้าหนึ่งก้าวทุกหนึ่งนัด ลูกปืนของเขาวิ่งไปกระแทกพื้นดินใต้กระป๋อง
พากระป๋องเคลื่อนที่ไปเรื่อยๆจนกระทั่งลูกปืนหมด
ไม่ว่าเป้าจะขยับเขยื้อนไปมาแค่ไหน
หรือขณะกำลังยิงวัตถุที่ถูกโยนขึ้นไปในอากาศ เขาไม่เคยแสดงอาการรีบร้อน ทุกอิริยาบทดูเป็นธรรมชาติไปหมด
ส่วนหนึ่งเป็นเพราะมีร่างกายที่แข็งแกร่ง เมื่อประกอบกับการฝึกฝน และการใช้ชีวิตอย่างอิสระในป่า
ทำให้เขาสามารถประสานการใช้มือและสายตาร่วมกันได้อย่างดีเลิศ นี่คือปัจจัยสำคัญที่ทำให้เขาสามารถใช้ปืนพกได้อย่างแม่นยำไม่มีที่ติ”
อย่างไรก็ตาม
ไวลด์ บิล คงจะไม่ค่อยชอบชีวิตการเป็นดารานัก จึงยุติบทบาทการแสดงไปหลังจากนั้น
แต่ความดังไม่ได้หายไปไหน ยังมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักและสนใจของชาวบ้าน อย่างต่อเนื่อง เป็นโอกาสให้หนังสือพิมพ์หลายฉบับ นำไปใช้เล่นข่าวหากินได้
ฉบับที่เล่นแรงที่สุด
เห็นจะเป็น มิสซูรี่ เดโมแครต ซึ่งเมื่อ 6 ปีก่อนเคยลงข่าวว่า ไวลด์ บิล
ฆ่าคนไปแล้วกว่าร้อยศพนั่นแหละครับ หนนี้ลงข่าวไว้ในฉบับวันที่ 12 มีนาคม ค.ศ.1873
ว่า
“
ดูเหมือนว่า ไวลด์ บิล จะเสียชีวิตแล้วจริงๆ รายงานล่าสุดแจ้งมาว่า
วิลเลี่ยมผู้ยังไม่เคยมีใครโค่นลงได้
ถูกชาวเท็กซัสคนหนึ่งต้อนเข้ามุมและสังหารเสีย หลังจากน้องชายของเขาต้องตายไปเพราะบิลเหนี่ยวไกเร็วกว่า
เมื่อยิง ไวลด์ บิล แล้ว ชาวเท็กซัสคนนั้นยังถามฝูงชนในบาร์อีกว่า
มีสุภาพบุรุษท่านใดอยากจะมาร่วมผสมโรงบ้างไหม หากมีละก็เชิญชักปืนก่อนเลย
จะได้ฆ่าทิ้งเสียให้สนุก พอไม่มีสุภาพบุรุษคนไหนแสดงอาการว่าอยากถูกฆ่า
ชาวเท็กซัสคนนั้นก็ประกาศว่า เขามีธุระจะต้องกลับไปเท็กซัส แล้วขึ้นม้าขี่ออกไปอย่างไม่เร่งรีบ
”
ไวลด์
บิล ผู้ยังมีชีวิตอยู่ ไม้ได้ตายไปแล้วตามที่เป็นข่าว และในฐานะผู้ถูกพาดพิง ทนอ่านเรื่องยกเมฆแบบนี้ไม่ได้
รีบเขียนจดหมายถึงบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ทันทีในวันรุ่งขึ้น หวังชี้แจงข้อเท็จจริง และขอให้แก้ข่าวให้ถูกต้อง
มีใจความว่า
“
สปริงฟีลด์, มิสซูรี่
13 มีนาคม 1873
เรียน บรรณาธิการหนังสือพิมพ์เดโมแครต
โปรดแก้ไขข้อผิดพลาดในหนังสือพิมพ์ฉบับวันที่
12 ของท่าน ผมขอแถลงไว้ ณ ที่นี้ว่า ยังไม่เคยมี และจะไม่มีชาวเท็กซัสหน้าไหนมาต้อนวิลเลี่ยมให้เข้ามุมได้เป็นอันขาด
ผมขอแก้ไขข่าวของท่านเพื่อให้ผู้คนที่รู้จักผมเข้าใจอย่างถูกต้อง
ขอแสดงความนับถือ
เจ.บี.
ฮิกค็อก
ป.ล.
ผมซื้อหนังสือพิมพ์ของท่านอ่านมาตั้งแต่ปี 1857 โดยไม่เคยสนใจซื้อเล่มอื่น
เจ.บี.
ฮิกค็อก หรือ ไวลด์ บิล “
บรรณาธิการยอมลงพิมพ์จดหมายของ
ไวลด์ บิล ทุกข้อความแบบไม่ตัดทอน และตอบจดหมายทิ้งท้าย (ทำเป็น) แสดงความบริสุทธิ์ใจในเรื่องนี้
ที่ฟังดูแล้วออกจะกวนๆอยู่เหมือนกัน
ด้วยสำนวนที่หนังสือพิมพ์บ้านเราทุกฉบับ (ยกเว้นสยามรัฐยุคของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช) ต้องชิดซ้ายไปเลยว่า
ด้วยสำนวนที่หนังสือพิมพ์บ้านเราทุกฉบับ (ยกเว้นสยามรัฐยุคของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช) ต้องชิดซ้ายไปเลยว่า
“
เรามีความปิติยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้นำจดหมายของคุณฮิกค็อกมาลงไว้ต่อหน้าท่านผู้อ่านหนังสือพิมพ์เดโมแครต
หลายท่านคงจะดีใจที่ได้ทราบจากปากกาของเขาเองว่าเขายังพร้อมที่จะรับมืออยู่ แต่
วิลเลี่ยม หากคุณมีอันเป็นจะต้องจากไปอย่างกระทันหันเมื่อไรละก็
โปรดเขียนเล่ารายละเอียดมาให้เราทราบด้วย เราจะตอบแทนคุณด้วยการลงข่าวมรณกรรมอย่างดีที่สุดเท่าที่เราจะสามารถเขียนได้
ถึงแม้เราจะเชื่อมั่นว่า ความปิติสลดนี้คงจะยังมาไม่ถึงไปอีกหลายปี
ไวลด์
บิล หรือใครก็ตามที่ถูกฆ่าไปอย่างผิดๆในคอลัมน์นี้
จะถูกชุบชีวิตขึ้นให้ใหม่ทันทีที่เราได้รับคำร้องเรียนหรือจดหมาย
ผู้ตายไม่จำเป็นต้องมาด้วยตนเอง เพียงเขียนถึงเราเท่านั้นเราก็จะดำเนินการให้ “
ไวลด์
บิล เปลี่ยนใจหันกลับเข้าสู่วงการบันเทิงอีกครั้ง ในเดือนกันยายนปีเดียวกัน
หลังจากถูก วิลเลี่ยม เอฟ. โคดี้ (William F. Cody) อดีตเพื่อนร่วมงานสมัยทำหน้าที่เป็นกองสอดแนมให้กับทหาร
ผู้ซึ่งบัดนี้ เป็นเจ้าของคณะการแสดงแบบ ไวลด์ เวสท์ โชว์ ชุดใหญ่
และมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันทั่วไปว่า บั๊ฟฟาโล บิล (Buffalo Bill) ชักชวนให้มาร่วมงานกัน และเข้าร่วมแสดงกับคณะของ บั๊ฟฟาโล บิล
ในฐานะดารานำคนสำคัญคนหนึ่ง
ไวลด์ บิล (คนที่สองจากซ้าย) ถ่ายภาพหมู่ร่วมกับ บั๊ฟฟาโล บิล โคดี้ (คนกลาง) และดารานำแสดง คนสำคัญอื่นๆใน คณะ ไวลด์ เวสท์ โชว์ |
โป๊สเตอร์โฆษณาการแสดง ไวลด์ เวสท์ โชว์ ของ บั๊ฟฟาโล บิล โคดี้ ซึ่ง ไวลด์ บิล เป็นดารานำอยู่ด้วย |
ครั้งนี้ ไวลด์ บิล ร่วมเดินสายทัวร์ไปกับคณะนักแสดง จนทั่วภาคตะวันออก เป็นเวลาได้เพียง 5 เดือน ก็เบื่ออีก
จึงตัดสินใจ บอกลาอาชีพนักแสดงเป็นการถาวร
ย้ายกลับไปใช้ชีวิตในดินแดนตะวันตก ตามสไตล์ที่ตัวถนัดเช่นเดิม
แต่การกลับมาของ
ไวลด์ บิล หนนี้ ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
เพราะในช่วงออกแสดงกับคณะของ บั๊ฟฟาโล บิล นั้น ไวลด์ บิล ต้องอยู่ในสภาพ สิงห์ปืนไวไฟส่องหน้า ติดต่อกันนานๆหลายๆครั้ง จนที่สุดมีผลกับสายตา และการมองเห็นเริ่มลดน้อยถอยลงทีละนิด
เพราะในช่วงออกแสดงกับคณะของ บั๊ฟฟาโล บิล นั้น ไวลด์ บิล ต้องอยู่ในสภาพ สิงห์ปืนไวไฟส่องหน้า ติดต่อกันนานๆหลายๆครั้ง จนที่สุดมีผลกับสายตา และการมองเห็นเริ่มลดน้อยถอยลงทีละนิด
ถึงกระนั้น
การคืนสู่ตะวันตกของ ไวลด์ บิล ก็ยังคงสร้างความหวั่นไหวให้บรรดาเหล่าร้ายทั้งหลาย
ผู้ไม่มีใครล่วงรู้ความจริงเลยสักนิดว่า นอกจาก ไวลด์ บิล
จะไม่ได้มีสายตาคมและไวอย่างแต่ก่อนแล้ว
หลายครั้งตายังพร่ามัว มองเห็นอะไรไม่ค่อยชัดอีกด้วย
หลายครั้งตายังพร่ามัว มองเห็นอะไรไม่ค่อยชัดอีกด้วย
กลางปี
ค.ศ.1876 ไวลด์ บิลเดินทางมาถึงเมืองเด๊ดวู้ด (Deadwood) ใน เซ้าธ์
ดาโกต้า เพื่อร่วมขุดหาแร่ทองคำกับเพื่อนๆ
แต่แล้วกลับพบว่า ตัวเองสามารถทำรายได้มากกว่าบนโต๊ะพนัน
เมืองเด๊ดวู้ด
มีสภาพไม่ต่างไปจากแอ๊บบิลีนเมื่อหลายปีก่อน
คือกำลังบูม และเต็มไปด้วยนักเลงปืนต่างถิ่นมากมายมาเกะกะเกเร
ยังไม่มีการจัดระเบียบอะไรแต่อย่างใด
ส่วนหนึ่งของเมืองเด๊ดวู้ด ใน เซ้าธ์ ดาโกต้า ที่ ไวลด์ บิล ได้เห็น เมื่อปี ค.ศ. 1876 |
การปรากฏตัวของ
ไวลด์ บิล จึงไม่ค่อยเป็นที่สบอารมณ์ของพวกนี้นัก ต่างเกรงกันว่า ฝันร้ายจะกลายเป็นจริง
หาก ไวลด์ บิล เกิดได้รับแต่งตั้งให้เป็นมาร์แชลอยู่ที่นี่
กลุ่มผู้มีอิทธิพลจึงพยายามว่าจ้างมือปืนชื่อดัง
2 คน ได้แก่ จิม ลีวาย (Jim
Levy) และ ชาร์ลี สตอร์มส์ (Charlie Storms) ให้เก็บ
ไวลด์ บิล เสีย
แต่ทั้งคู่ยังเกรงบารมีของ
ไวลด์ บิล อยู่มาก และคงจะยังไม่รู้ว่า ไวลด์ บิล เริ่มมีปัญหาเรื่องสายตา
ก็เลยไม่กล้ารับงาน
หลังจากนั้น
ก็มีนักเลงปืนจากมอนทานา 6 คน ซุบซิบกันวางแผนจะกำจัด ไวลด์ บิล
แต่ยังไม่ทันได้ลงมือ ข่าวเกิดรั่วไปถึงหู ไวลด์ บิล เข้าเสียก่อน
ไวลด์
บิล ไม่รอช้า เดินอาดเข้าไปเผชิญหน้านักเลงทั้งหกนี้ โดยไม่ลืมคาดโค้ลท์กระบอกเก่งทั้งคู่มาข่มขวัญด้วย
พลางเอ่ยขึ้นว่า
“พวกแกมันไอ้แค่นักเลงกระจอกงอกง่อย
อยากจะยกฐานะตัวเองขึ้นเป็นมือปืนมีอันดับ ฉันขอบอกให้พวกแกเข้าใจไว้ ณ
ที่นี้เลยว่า ถ้าพวกแกไม่เลิกคิดร้ายกับฉันเสียที่นี่เดี๋ยวนี้เลยละก็
รับรองได้ว่าอีกไม่นานจะต้องมีการจัดงานศพแบบง่ายๆถูกๆขึ้นหลายครั้งแน่
ฉันไม่ได้มาที่นี่เพื่อจะมามีเรื่องมีราวอะไร แต่ต้องการมาอยู่อย่างสงบ
และจะไม่ยอมทนให้ใครมาหาเรื่องเป็นอันขาด”
พูดจบก็ยึดอาวุธจากทุกคนเอาไว้ได้หมด
โดยไม่มีใครขัดขืน
วันที่
2 สิงหาคม ค.ศ. 1876 เวลาประมาณ 4 โมงเย็น ไวลด์ บิล
เข้าร่วมวงเล่นไพ่โป๊กเก้อร์ อยู่ในซาลูนชื่อ คาร์ล มานส์ (Carl Mann’s
Saloon) กับเจ้าของซาลูน และเพื่อนสนิทอีก 3 คน
ความที่มาถึงเป็นคนสุดท้าย
ไวลด์ บิล จำต้องนั่งลงบนเก้าอี้ว่าง ที่เหลืออยู่เพียงตัวเดียว
หันหลังให้ประตูด้านหลังของร้าน
โดยปกติแล้ว นักเลงปืนผู้คร่ำหวอด จะเลือกนั่งแต่ในตำแหน่งที่หันหลังให้ข้างฝา หรือกำแพงเท่านั้นครับ
เป็นการระมัดระวังตัวเอง ไม่ให้ใครแอบเข้ามาทำร้ายจากด้านหลังโดยไม่รู้ตัว
แม้แต่นักเล่นเปียโนที่ตั้งไว้สำหรับเล่นในบาร์
ยังต้องหากระจกเงามาติดไว้เป็นแนวยาว ให้พอดีกับระดับสายตาของผู้เล่น
เพื่อให้นักดนตรีสามารถเล่นพลาง ติดตามดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้านหลังตัวเองไปพลาง เห็นท่าไม่ดีเมื่อไรจะได้หลบทัน
เนื่องจากพวกขี้เหล้าส่วนใหญ่ พอเมาได้ที่แล้ว มักชอบยิงใส่เปียโน หาว่าดังหนวกหู
เนื่องจากพวกขี้เหล้าส่วนใหญ่ พอเมาได้ที่แล้ว มักชอบยิงใส่เปียโน หาว่าดังหนวกหู
ในขณะที่ต่างคนต่างสนุกสนานฮาเฮ
เกทับบลั๊ฟแหลกกันอย่างเต็มที่
ก็มีไอ้หนุ่มท่าทางซอมซ่อคนหนึ่ง เดินเข้ามาในบาร์ โดยไม่มีใครสังเกตเห็น
และทำเป็นเดินเรื่อยๆ ดูเขาเล่นไพ่ จนไปหยุดอยู่ข้างหลังของ ไวลด์ บิล ผู้กำลังซุบซิบนินทากับเพื่อนที่นั่งติดกันว่า เพื่อนอีกคนที่นั่งอีกข้างชอบแอบดูไพ่คนอื่นเวลาเผลอ
และทำเป็นเดินเรื่อยๆ ดูเขาเล่นไพ่ จนไปหยุดอยู่ข้างหลังของ ไวลด์ บิล ผู้กำลังซุบซิบนินทากับเพื่อนที่นั่งติดกันว่า เพื่อนอีกคนที่นั่งอีกข้างชอบแอบดูไพ่คนอื่นเวลาเผลอ
คนอื่นๆนอกนั้น ก็เอาแต่สนใจอยู่กับไพ่
ไม่มีใครสนใจไอ้หนุ่มซอมซ่อรายนี้เลยซักคนว่า กำลังจะทำอะไร
ทันใดนั้น
ก็มีเสียงเปรี้ยงดังลั่นสนั่นขึ้น กระแทกรูหูของทุกคนที่อยู่ในร้าน
เมื่อทุกคนตกใจว่าเกิดอะไรขึ้น
ก็เห็น ไวลด์ บิล หงายท้องลงทั้งเก้าอี้ไปอยู่กับพื้น มีเลือดไหลออกมาจากศีรษะนองเต็มพื้นไปหมด
สิ้นใจทันทีโดยไม่รู้ตัว ในมือยังถือไพ่ที่เล่นค้างไว้อยู่
ปืนพกบรรจุเดี่ยว ยี่ห้อแฮมมอนด์ (Hammond) ขนาด .44 พบอยู่กับตัวของ ไวลด์ บิล หลังจากถูกยิงตาย โดยไม่มีโอกาสได้ใช้ต่อสู้ |
ใช่ครับ
ไอ้หนุ่มซอมซ่อรายนี้เอง เป็นผู้ชักปืนโค้ลท์ขนาด .45 ออกมาจากเสื้อคลุม
ยิงเข้าใส่ ไวลด์ บิล ที่หัวจากข้างหลัง และมีนามว่า แจ๊ค แม็คคอล (Jack McCall)
ฝ่ายตำรวจ
ไม่สามารถสืบสาวเรื่องราวเพื่อหาว่า
งานนี้มีผู้ว่าจ้าง หรือตัวการอื่นอยู่เบื้องหลังอีกหรือไม่
ศาลจึงพิพากษาตัดสินให้ แจ๊ค แม็คคอล เป็นผู้เดียวที่มีความผิด ต้องถูกแขวนคอ ชดใช้กรรมไปเมื่อวันที่ 1 มีนาคม ค.ศ.1877
ศาลจึงพิพากษาตัดสินให้ แจ๊ค แม็คคอล เป็นผู้เดียวที่มีความผิด ต้องถูกแขวนคอ ชดใช้กรรมไปเมื่อวันที่ 1 มีนาคม ค.ศ.1877
และด้วยผลงานการลอบยิง
ไวลด์ บิล ทีเผลอจากข้างหลังนี้ ทำให้กลายเป็นผู้ที่ทุกคนในแวดวงคาวบอย ต่างประณามหยามเหยียดกันต่อๆมาว่า
เป็นมือปืนชั้นสวะ ผู้ไม่มีคุณค่าควรแก่บันทึกชื่อเสียงเรียงนามไว้ ให้ใครจดจำ
หรือเอ่ยถึงให้เป็นเสนียดแก่ปาก
ถึงแม้จะจบชีวิตลงด้วยวัยเพียง
39 ปี แต่ชื่อเสียงของ ไวลด์ บิล ฮิกค็อก ไม่เคยหายไปจากประวัติศาสตร์และความทรงจำของผู้คน
กลายเป็นตำนานคาวบอยรุ่นคลาสสิค ต้นแบบนักเลงปืนผู้ไวและแม่นทั้งสองมือ แถมยังเป็นต้นฉบับของมือปราบปืนโหด ที่บรรดาเหล่าร้ายต่างพากันเกรงกลัวไม่กล้าเผชิญหน้า
กลายเป็นตำนานคาวบอยรุ่นคลาสสิค ต้นแบบนักเลงปืนผู้ไวและแม่นทั้งสองมือ แถมยังเป็นต้นฉบับของมือปราบปืนโหด ที่บรรดาเหล่าร้ายต่างพากันเกรงกลัวไม่กล้าเผชิญหน้า
นอกจากนี้
ไพ่ที่พบอยู่ในมือของ ไวลด์ บิล ขณะถูกยิงตาย ก็ยังกลายเป็นสัญลักษณ์แห่งความโชคร้ายสำหรับเซียนโป๊กเกอร์มาจนถึงปัจจุบัน
เป็นไพ่สี่ใบ มีแปดโพธิ์ดำกับแปดดอกจิกคู่หนึ่ง
และเอโพธิ์ดำกับเอดอกจิกอีกคู่หนึ่ง ได้รับการขนานนามมาแต่บัดนั้น
และยังเป็นที่จดจำกันได้ดีจนบัดนี้ว่า Dead Man’s Hand หรือ แต้มของคนตาย
ส่วนไพ่ใบที่ห้า ไม่ได้อยู่ในมือ
และไม่มีใครทันสังเกตว่าเป็นแต้มอะไร
แต่เชื่อว่า ไวลด์ บิล ต้องกำลังลุ้นหวังเอาแต้มเห่าอย่างแน่นอน
แต่เชื่อว่า ไวลด์ บิล ต้องกำลังลุ้นหวังเอาแต้มเห่าอย่างแน่นอน
ก่อนจะจบ
ผมขอเฉลยปริศนาที่มาของชื่อ ไวลด์ บิล ว่า เพี้ยนมาจากชื่อจริงคือ เจมส์ บัทเล่อร์
ได้อย่างไร ตามที่รับปากไว้ในตอนก่อนนะครับ
เรื่องนี้
มีผู้รู้ตั้งสมมุติฐานไว้มากมาย บ้างก็บอกว่า
มาจากเมื่อครั้งออกร่วมรายการแสดงโชว์กับ บั๊ฟฟาโล บิล จึงได้รับการขนานนามว่าเป็น
ไวลด์ บิล ให้คล้องจองกัน
บางตำรากลับบอกว่า
ได้ชื่อนี้มาก่อนหน้านั้นนานแล้ว ตั้งแต่สมัยยังทำงานเป็นกองสอดแนมให้ทหาร
ครั้งหนึ่งไปช่วยสลายม็อบศาลเตี้ย ด้วยวิธีรุนแรงตามแบบที่ตัวถนัด จนตอนท้ายมีคนตะโกนเชียร์
(หรือประชดก็ไม่รู้) ว่า “แน่ไปเลย
ไวลด์ บิล”
อันมีความหมายคล้ายๆว่า ไอ้บิลมันโหดจริงๆ หรือ ไอ้บิลมันบ้าระห่ำสะใจจริงๆ อะไรแบบนั้น
อันมีความหมายคล้ายๆว่า ไอ้บิลมันโหดจริงๆ หรือ ไอ้บิลมันบ้าระห่ำสะใจจริงๆ อะไรแบบนั้น
แต่ก็ยังหาคำอธิบาย จากทั้งสองตำราไม่พบว่า
ชื่อ เจมส์ หรือหากเรียกเป็นชื่อเล่นตามแบบฝรั่งว่า จิม
อันเป็นชื่อที่พ่อแม่ตั้งให้หายไปไหน ทำไมถึงไม่มีใครเรียก
ทำไมถึงมีแต่คนเรียกว่า
บิล (อันเป็นชื่อเล่นสำหรับคนชื่อวิลเลี่ยม) จะไวลด์หรือไม่ไวลด์
โหดหรือไม่โหดก็ตามเหอะ
มาพบความกระจ่างเอาที่ตำราสุดท้ายครับ
เขาบอกว่า
ความที่เด็กชายจิม มีริมฝีปากบนยื่นออกมาค่อนข้างมาก ให้ใครๆเห็นเป็นจุดเด่นตั้งแต่เด็กๆ
เพื่อนฝูงและคนรอบข้างทั่วไปเลยพากันเรียกว่า ดั๊ค บิล (Duck Bill) หรือแปลเป็นไทยตรงๆว่า ไอ้ปากเป็ด
ภายหลังโตเป็นหนุ่มแล้ว
จึงพยายามไว้หนวดยาวหนาปกปิดริมฝีปาก เพื่อลบปมด้อยส่วนนี้ไม่ให้ใครเห็น
แต่คนส่วนใหญ่ก็ยังชอบเรียกกันติดปากว่า ดั๊ค บิล อยู่ดี
ลงภาพหน้าตาของ ไวลด์ บิล ฮิกค็อก ให้พิจารณากันได้ช้ดๆอีกครั้งนะครับ |
จนกระทั่งตัวเองเริ่มใช้ชีวิตดุเดือดโลดโผน
มีผลงาน (หรือสร้างภาพก็แล้วแต่) ว่าฆ่าฟันผู้คนไปแล้วมากมาย
จึงได้กลายมาเป็น ไวลด์ บิล
ท่านที่ได้ติดตามอ่านเรื่องราวของ
ไวลด์ บิล ฮิกค็อก ต้นแบบนักเลงปืน โดยตลอดมาตั้งแต่ต้นจนจบ
คิดว่าหากผมจะตั้งชื่อเรื่องเสียใหม่ ให้ตื่นเต้นเร้าใจกว่าเดิมละก็
ควรจะตั้งว่า
ไวลด์ บิล ไอ้เสือร้อยศพ หรือ ไวลด์ บิล ไอ้ปากเป็ดปืนโหด ดีครับ
มาร์แชลต่อศักดิ์
มีนาคม
2545