ถึงคิวของคาวบอยกับปืนคู่ใจอีกแล้วนะครับ
หนนี้จะเป็นตอนต่อไป ของเรื่องราวการต่อสู้ผจญภัยแบบไม่มีที่สิ้นสุด
และบทบาทอันโด่งดังไปทั่วดินแดนเท็กซัสและย่านใกล้เคียง ของ จอห์น เว้สลี่ย์ หรือ
เว้ส ฮาร์ดิน มือปืนผู้ที่ต้องถือว่า ได้รับการศึกษาสูงในสมัยนั้น มีความพากเพียรสูง ร่ำเรียนวิชากฎหมายจนได้รับประกาศนียบัตร ทั้งๆที่ตัวเองก็มีคดีอาญาฐานฆ่าคนตายติดตัวรุงรังอยู่มากมาย ต้องคอยหลบหนีการจับกุมของตำรวจวุ่นวายไปหมด
นอกจากนี้ ท่านที่ติดตามเรื่องราวมาตั้งแต่ตอนก่อน คงจะได้สังเกตอุปนิสัยนิสัยใจคอของ เว้ส ฮาร์ดิน และเห็นพ้องกันว่าลักษณะเด่นที่สุด นอกจากความรักชาติ (ความจริงคือรักพวกพ้องเสียมากกว่า) จนลืมหูลืมตาไม่ขึ้นแล้ว
ยังมีความเชื่อมั่นในตนเองสูง ชอบคิดว่าตัวเองเท่านั้นที่ถูก ใครไม่ใช่พวกตัว หรือไม่เห็นด้วยกับตัว ถือว่าผิดทั้งนั้น มีอาการคิดไวปากไว ใครบังอาจแหลมมา เป็นต้องถูกตอบโต้ทันทีทันควัน
เว้สเริ่มรู้สึกเข็ดหลาบขึ้นบ้างหลังจากงานนี้ อีกทั้งค่อนข้างแน่ใจว่า เท็กซัสที่ตัวเองถือว่าเป็นบ้านมาตลอด บัดนี้ดูจะไม่ค่อยปลอดภัย หรือมีแต่ญาติสนิทมิตรสหายที่ไว้ใจได้ เหมือนแต่ก่อนอีกแล้ว
ก่อนจะแพ้ผู้สมัครจากฝ่ายตรงข้ามไป ด้วยความขมขื่น (แหม มันจะอะไรกันนักหนา ที่จริงแล้ว อย่าว่าแต่จะได้รับเลือกหรือไม่เลยนะครับ ประวัติดุร้ายหลายศพขนาดนี้แล้ว ทางการยังยอมให้เป็นเนติบัณฑิตได้ ว่าความได้ ลงเลือกตั้งได้ ก็ต้องถือว่านายแน่มากแล้ว จะเอาอะไรกันอีก อย่างที่เคยว่าไว้ในครั้งก่อนนั่นแหละครับว่า ไม่มีที่ไหนเหมือนเท็กซัสจริงๆ)
เซ็ลแมนถูกจับ ในข้อหาฆ่าคนตายโดยเจตนา
นอกจากนี้ ท่านที่ติดตามเรื่องราวมาตั้งแต่ตอนก่อน คงจะได้สังเกตอุปนิสัยนิสัยใจคอของ เว้ส ฮาร์ดิน และเห็นพ้องกันว่าลักษณะเด่นที่สุด นอกจากความรักชาติ (ความจริงคือรักพวกพ้องเสียมากกว่า) จนลืมหูลืมตาไม่ขึ้นแล้ว
ยังมีความเชื่อมั่นในตนเองสูง ชอบคิดว่าตัวเองเท่านั้นที่ถูก ใครไม่ใช่พวกตัว หรือไม่เห็นด้วยกับตัว ถือว่าผิดทั้งนั้น มีอาการคิดไวปากไว ใครบังอาจแหลมมา เป็นต้องถูกตอบโต้ทันทีทันควัน
นี่ยังไม่นับเรื่องชอบทำตัวเป็นพระเจ้า
เที่ยวตัดสินเอาเองว่า คนโน้นคนนี้สมควรอยู่หรือตาย
ใช้ความรุนแรงเป็นเครื่องมืออย่างสะใจไร้เมตตาธรรมอยู่เสมอ
อย่างนี้
ถ้าไม่เข้าขั้นโรคจิต ก็เฉียดๆเข้าไปทุกทีแล้วละนะครับ
เรามาดูกันดีกว่าว่า
หนนี้จะยิ่งหนักขึ้นกว่าเก่าหรือเปล่า
จอห์น เว้สลี่ย์ หรือ เว้ส ฮาร์ดิน |
ครั้งก่อน
คณะพรรคของเว้ส อันประกอบด้วยญาติสนิทมิตรสหายใกล้ชิด ผู้ล้วนเป็นชาวเท็กซัน (Texan คือผู้มีถิ่นกำเนิดอยู่ในรัฐเท็กซัส)
ได้เสร็จสิ้นภารกิจการต้อนปศุสัตว์จากบ้านเกิด
ขึ้นไปขายยังเมืองแอ๊บบิลีนในรัฐแคนซัส
และใช้เวลาสนุกสนานผจญภัยกันอยู่ที่นั่นพักใหญ่
จนในที่สุด
เว้สเผลอพลาดท่าให้กับพวกตำรวจ ต้องหนีออกมาจากเมืองกลางดึก
ในสภาพที่ออกจะอุดจาดสายตาพอสมควร
ไม่สามารถดวลปืนโชว์ผู้อื่นในใจกลางที่สาธารณะได้เหมือนแต่ก่อน
แล้วเลยตัดสินใจ
ชวนคณะพรรคเก็บข้าวเก็บของ ออกเดินทางกลับบ้าน ไม่คิดจะแวะกลับมาวันหลังอีกเลย
(เข้าทำนอง มาด้วยกันไปด้วยกัน เลือดเท็กซันเอ๋ย มาอยู่แอ๊บบิลีนไม่กี่วัน
ก็กลับเท็กซัสกันดีกว่าเอย อะไรแบบนั้นแหละครับ)
ถึงเดือนมีนาคม
ค.ศ.1872 เว้สก็เข้าพิธีแต่งงานกับ เจน เบาเว่น สาวที่หมั้นหมายกันไว้ ตั้งแต่ก่อนจะต้อนปศุสัตว์ไปแอ๊บบิลีน
จากนั้น จึงริเริ่มประกอบอาชีพทำคอกเลี้ยงม้าแข่ง อยู่ที่เมืองกอนซาเล้ส ร่วมกับ แมนนิ่ง คลีเม้นต์ส ผู้เป็นญาติสนิท
เจน ภรรยาของเว้ส |
จากนั้น จึงริเริ่มประกอบอาชีพทำคอกเลี้ยงม้าแข่ง อยู่ที่เมืองกอนซาเล้ส ร่วมกับ แมนนิ่ง คลีเม้นต์ส ผู้เป็นญาติสนิท
วันหนึ่ง
หลังจากทั้งสองเสร็จธุระจากการไปหาดูม้าฝีเท้าดี ที่สนามแข่งในเมืองเมือง ทรินิตี้
ซิตี้ (Trinity
City) เว้สก็แวะเข้าไปโยนโบว์ลิ่งอยู่ในซาลูนแห่งหนึ่ง
เล่นไปได้สักพัก
เกิดขัดใจเรื่องเงินพนันกันขึ้น กับคู่เล่นผู้มีชื่อว่า ฟิล ซับเล็ตต์ (Phil
Sublette) มีการโต้เถียงกันอย่างรุนแรงเผ็ดร้อน
เว้สกลั้นโทสะไม่อยู่
เมื่อได้ยินฟิลขู่ว่า จะฆ่าตนเสีย จึงตบหัวฟิลไปเสียหนึ่งที เป็นการระบายอารมณ์
พอหายโกรธแล้ว ก็ลูบหลังด้วยการเลี้ยงเหล้าปลอบใจ
จากนั้น
ทั้งสองก็เล่นโบว์ลิ่งด้วยกันต่อไป เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น (จริงๆต้องมีอยู่แล้วละครับ
โปรดใจเย็นรอสักครู่เท่านั้นเอง)
พอจบเกมส์
ปรากฏว่า เว้สเป็นผู้ชนะ ได้สตังค์ทั้งหมดมาจากฟิล ต้องฉลองด้วยการเปิดเหล้าเลี้ยงทุกคนในร้าน
ช่วงนี้แหละ
ที่ใครๆเริ่มสงสัยว่า เอ๊ะ แล้วฟิลหายไปไหน
ชั่วไม่กี่อึดใจ
ทุกคนก็เห็นฟิล เปิดประตูกลับเข้ามาในร้าน ถือปืนลูกซองเข้ามาด้วย
เว้สมองเห็น
ก็สามารถเข้าใจได้ทันทีว่า ฟิลตั้งใจจะมอบกระสุนบั๊คช้อท ให้เป็นรางวัลแก่ผู้ชนะด้วยตัวเอง
ถึงจะไม่อยากรับ
ก็ไม่อยากจะใจจืดใจดำ ไม่ตอบแทนน้ำใจ จึงคว้าปืนออกมา ยิงเปรี้ยงเข้าใส่ฟิลเสียก่อน
เป็นการขอบคุณล่วงหน้า
แต่จังหวะไม่ดี
ขณะลั่นไก ดันมีขี้เมาคนหนึ่ง คว้าแขนของตนเอาไว้จากข้างหลัง ลูกปืนเลยวิ่งขึ้นสูง
ข้ามหัวฟิลไป
และระหว่างที่เว้สยังสลัดขี้เมาไม่ทันหลุด
ฟิลก็ยิงสวนกลับมา โดนเว้สเข้าที่กลางหน้าท้องพอดี ก่อนจะโยนปืนทิ้ง แล้วเผ่นหนีออกจากร้านไป
ทั้งๆที่โดนลูกปรายเข้าอย่างจังที่หน้าท้อง
เว้สก็ยังมีเรี่ยวแรง ยกปืนขึ้นยิงตามหลังฟิลไปอีกหนึ่งนัด โดนฟิลเข้าที่หัวไหล่
แค่นั้นไม่พอ
ยังลากสังขารตัวเองออกไปข้างนอกหน้าร้าน แล้วกระหน่ำยิงทุกนัดที่ยังเหลือเข้าใส่ฟิล
ผู้บัดนี้วิ่งหนีหัวซุกหัวซุนไม่ยอมหยุด จนกระทั่งหมดโม่แล้ว ถึงได้ยอมหมดแรง ทรุดลงไปนอนกองกับพื้น
และยังไม่วาย
ขอพูดพึมพัมกับคนดูต่ออีกหน่อย (แบบในหนัง เวลาถูกยิงต้องสั่งเสียก่อนสิ้นใจตาย)
ว่า หากทองทั้งหมดในโลกนี้เป็นของฉันละก็ ฉันยินดีสละทั้งหมดเพื่อแลกกับชีวิตมัน
แต่อย่างน้อยฉันก็ทำให้ไอ้ขี้ขลาดนั่นวิ่งหางจุกตูดไปแล้วละน่า
จากนั้นจึงนิ่งเงียบลง
จากนั้นจึงนิ่งเงียบลง
แต่เว้สไม่ได้กำลังแสดงหนัง
จึงยังไม่ตายในตอนนี้ พวกคาวบอยมุงช่วยกันเคลื่อนย้ายเว้สไปยังโรงแรมใกล้ๆ
ตามหมอผ่าตัดมารักษา ผ่าเอาลูกปืนออกโดยด่วน
ไม่นานนัก
เจนผู้ภรรยา และแมนนิ่ง ก็ตามมาดูอาการ
หมอบอกว่า
หนักมาก อาจจะไม่รอด
สองสามวันต่อมา
แมนนิ่งกระหืดกระหอบมาพร้อมข่าวร้าย นั่นคือ พวกตำรวจรัฐคู่ปรับเก่าของเว้ส ทราบข่าวเรื่องการยิงกันแล้ว
กำลังเร่งเดินทางมาที่นี่
มิไยหมอผ่าตัดจะพร่ำเตือนว่า
ขืนพยายามเคลื่อนย้ายเว้สขึ้นหลังม้าไปตอนนี้ละก็ รับรองอยู่ได้ไม่เกินชั่วโมงแน่
ทั้งเจนและแมนนิ่งก็ไม่สนใจ แบกเอาตัวเว้สขึ้นม้าจนได้ พาขี่ม้าออกจากเมือง แบบค่อยๆไป ไม่กล้าควบเหมือนกัน
ทั้งเจนและแมนนิ่งก็ไม่สนใจ แบกเอาตัวเว้สขึ้นม้าจนได้ พาขี่ม้าออกจากเมือง แบบค่อยๆไป ไม่กล้าควบเหมือนกัน
รายงานข่าวหลังจากนั้นแจ้งว่า
พวกตำรวจมาถึงที่เกิดเหตุ สืบสวนได้ความละเอียดแล้ว ก็ออกติดตามทั้งคู่ไปทันตรงชานเมือง
เกิดการดวลปืนกันดุเดือดสนั่นหวั่นไหว
เว้สโดนกระสุนตำรวจ
ได้มาอีกบาดแผลที่ต้นขา แต่ยังสามารถยิงตำรวจตายไปสอง
ทำให้พวกตำรวจต้องล่าถอยกลับในที่สุด
วันต่อมา
เว้สเลือดออกมาก จากทั้งแผลเก่าและแผลใหม่
แมนนิ่งจัดการเจรจากับ
ริชาร์ด รีแกน (Richard
Regan) เชอร์ริฟของมณฑลเชโรกี (Cherokee ชื่อเดียวกับรถจี๊ปเลยครับ)
ผู้เป็นเจ้าของท้องที่ ขอส่งเว้สเข้ามอบตัว
แต่มีข้อแลกเปลี่ยนว่า จะต้องไม่ส่งตัวเว้สต่อให้พวกตำรวจรัฐเป็นอันขาด
แต่มีข้อแลกเปลี่ยนว่า จะต้องไม่ส่งตัวเว้สต่อให้พวกตำรวจรัฐเป็นอันขาด
แมนนิ่ง คลีเม้นต์ส ผู้เป็นทั้งญาติสนิท และเพื่อนใกล้ชิด ที่สุดของเว้ส |
เชอร์ริฟรีแกน
ในฐานะชาวใต้ผู้รักชาติเหมือนกัน รับปากอย่างเป็นมั่นเป็นเหมาะว่า จะดูแลเว้สให้เป็นอย่างดี
และจะไม่ยอมให้ต้องตกไปอยู่ในมือของตำรวจรัฐ หรือพวกแยงกี้แน่นอน
เว้สจึงอยู่รอดปลอดภัย
พ้นจากเงื้อมมือทั้งมัจจุราชและพวกตำรวจรัฐมาได้ อย่างหวุดหวิด
ระหว่างที่กำลังพักฟื้นตัวให้แข็งแรงเหมือนเดิมนี้
ก็เกิดเหตุการณ์สำคัญอันหนึ่งขึ้นในเท็กซัส
เป็นเรื่องพิพาทระหว่างสองตระกูลใหญ่
ได้แก่ตระกูลซัตตั้น (Sutton) แห่งมณฑลกอนซาเล้ส อันเป็นท้องที่เดียวกับบ้านของเว้สและภรรยา
กับตระกูลเทย์เล่อร์ (Taylor) แห่งมณฑลเดอวิตต์ (DeWitt) อันเป็นพื้นที่ติดต่อกัน
ความบาดหมางบานปลาย
เกิดการฆ่าแกงกันขึ้น
จากนั้นจึงตามด้วยการเปิดฉากผลัดกันฆ่าล้างแค้นอย่างโหดเหี้ยมดุเดือด ขยายวงไปถึงญาติพี่น้องและคนสนิทของแต่ละฝ่าย กลายเป็นสงครามย่อยๆ
จากนั้นจึงตามด้วยการเปิดฉากผลัดกันฆ่าล้างแค้นอย่างโหดเหี้ยมดุเดือด ขยายวงไปถึงญาติพี่น้องและคนสนิทของแต่ละฝ่าย กลายเป็นสงครามย่อยๆ
พวกซัตตั้น
มีกำลังมากกว่าพวกเทย์เล่อร์ แถมยังเป็นผู้สนับสนุนทางการเมือง ของ เอ็ดมันด์ เจ.
เดวิส ผู้ว่าการรัฐเท็กซัส จึงได้รับการช่วยเหลือ ทั้งด้านปัจจัยและข้อมูลข่าวสาร จากผู้ว่าการรัฐกับพวกตำรวจรัฐเป็นอย่างดี
ส่วนพวกเทย์เล่อร์นั้น
ทุกคนเป็นเพื่อนสนิทกับตระกูลคลีเม้นต์ส อันเป็นญาติสนิทของเว้สอีกต่อหนึ่ง
ในชั้นแรก
เว้สพยายามวางตัวเป็นกลาง ไม่อยากไปหาเรื่องพัวพันให้ครอบครัวพลอยเดือดร้อน แต่กลับถูกบรรดาพวกสมุนของซัตตั้น
วนเวียนกันมาท้าทายตนด้วยวิธีต่างๆนาๆ
สุดท้ายถึงกับส่งเชอร์ริฟ
ที่เป็นคนของพวกตัว มาดักจี้เว้สกลางทาง จะเอาตัวไปขัง
แน่นอนว่า
นอกจากจะไม่ยอมไปด้วยแล้ว เว้สยังจัดการส่งเชอร์ริฟรายนั้นกลับบ้านเก่าไปเสียก่อน
และเมื่อเว้สกลับมาถึงบ้าน
ก็ได้ทราบข่าวอีกว่า บิล ซัตตั้น หัวหน้าใหญ่ ลงมือเดินทางมาข่มขู่ลูกเมียของตนถึงที่บ้านด้วยตนเอง
จึงเริ่มรู้สึกว่า นี่มันชักจะกดดันกันจนเกินไปแล้ว (เข้าทำนอง คนอย่างผมมีปัญหาอะไรพูดคุยกันได้ แต่อย่ามากดดันผม ผมไม่ชอบให้ใครมากดดัน และจะไม่ยอมให้ใครมากดดันผมเป็นอันขาด ประเภทนั้นแหละครับ)
จึงเริ่มรู้สึกว่า นี่มันชักจะกดดันกันจนเกินไปแล้ว (เข้าทำนอง คนอย่างผมมีปัญหาอะไรพูดคุยกันได้ แต่อย่ามากดดันผม ผมไม่ชอบให้ใครมากดดัน และจะไม่ยอมให้ใครมากดดันผมเป็นอันขาด ประเภทนั้นแหละครับ)
ทำให้เว้สต้องตัดสินใจเลือกข้าง
เข้าร่วมกับพวกเทย์เล่อร์ และด้วยชื่อเสียงในทางการใช้ปืนผาหน้าไม้ ที่ใครๆก็ครั่นคร้าม
จึงได้รับเลือกตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้นำ อย่างเป็นเอกฉันท์
เว้สไม่เคยทำให้พรรคพวกผิดหวังอยู่แล้ว
รีบจัดแจง นำคณะออกปราบปรามกำจัดพวกซัตตั้นและลูกสมุน ส่งกลับบ้านเก่าไปอีกหลายคน
จังหวะนี้
พอดีเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองขึ้น เมื่อผู้ว่าการรัฐคนเดิมคือ เอ็ดมันด์ เจ. เดวิส ไม่ได้รับการเลือกตั้งในสมัยที่สอง
และตำรวจรัฐ
ที่ตนเป็นผู้ก่อตั้งขึ้นมา เพื่อเป็นเครื่องมือสำหรับกำจัดผู้ที่ตนเห็นว่า เป็นภัยต่อความมั่นคงของรัฐ
(และของตนด้วยนั่นแหละครับ) ก็ใช้อำนาจหน้าที่ปราบปรามประชาชนจนเกินขอบเขต
แถมยังไปก่อเรื่องรีดไถชาวบ้านมากมาย จนถูกร้องเรียนอีก
รัฐสภาของเท็กซัส
จึงใช้อำนาจตามรัฐธรรมนูญ ออกกฎหมายยุบหน่วยงานนี้ ทิ้งไปเสียพร้อมๆกัน
เมื่อเป็นเช่นนี้
พวกซัตตั้นจึงอ่อนกำลังลงอย่างรวดเร็ว
และในที่สุดเมื่อเดือนเมษายน ค.ศ. 1874 เว้สก็วางแผน ให้พี่น้องระดับแกนนำของตระกูลเทย์เล่อร์สองคน ชื่อบิลลี่และจิม ออกสะกดรอยติดตามความเคลื่อนไหวของ บิล ซัตตั้น อย่างใกล้ชิด
และในที่สุดเมื่อเดือนเมษายน ค.ศ. 1874 เว้สก็วางแผน ให้พี่น้องระดับแกนนำของตระกูลเทย์เล่อร์สองคน ชื่อบิลลี่และจิม ออกสะกดรอยติดตามความเคลื่อนไหวของ บิล ซัตตั้น อย่างใกล้ชิด
รอจนได้จังหวะเหมาะ
ขณะกำลังจะลงเรือโดยสาร เด็ดหัวผู้นำฝ่ายตรงข้ามลงได้เป็นผลสำเร็จ
ถึงกระนั้น
บิลลี่กับจิมก็ทำพลาดไปนิดนึง ดันยิงเอาผู้ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ตายตามไปด้วยอีกคน เพราะสำคัญผิด
นึกว่าเป็นคนของ บิล ซัตตั้น
บรรดาชาวบ้าน
ผู้ไม่ได้มีส่วนได้เสีย แต่ต้องเดือดร้อนรำคาญ ไปกับการต่อสู้ห้ำหั่นกันของสองพวกนี้
จึงเริ่มหมดความอดทน (ชาวบ้านย่อมมีสิทธิ์ไม่ชอบให้ใครมากดดันเหมือนกัน)
แล้วก็รวมตัวกัน ยื่นหนังสือร้องเรียนไปยังผู้ว่าการรัฐคนใหม่ ขอให้ยุติความวุ่นวายลงโดยเร็ว และจับผู้กระทำความผิดทุกคน มาลงโทษตามกฎหมายให้หมด โดยไม่ละเว้น
แล้วก็รวมตัวกัน ยื่นหนังสือร้องเรียนไปยังผู้ว่าการรัฐคนใหม่ ขอให้ยุติความวุ่นวายลงโดยเร็ว และจับผู้กระทำความผิดทุกคน มาลงโทษตามกฎหมายให้หมด โดยไม่ละเว้น
ผู้ว่าการรัฐคนใหม่ชื่อ
ริชาร์ด โค้ก (Richard
Coke นามสกุลเดียวกันกับน้ำอัดลมเลยนะครับ)
เพิ่งเข้ารับตำแหน่งได้ไม่นาน รีบรับลูก สร้างผลงานทันที
ด้วยการออกหมายจับเว้ส ในฐานะผู้บงการฆ่า บิล ซัตตั้น และสั่งการให้หน่วยตำรวจ เท็กซัส เรนเจ้อร์ส ส่งกำลังออกติดตามจับตัวเว้สให้ได้โดยด่วน
ด้วยการออกหมายจับเว้ส ในฐานะผู้บงการฆ่า บิล ซัตตั้น และสั่งการให้หน่วยตำรวจ เท็กซัส เรนเจ้อร์ส ส่งกำลังออกติดตามจับตัวเว้สให้ได้โดยด่วน
ร็อค ฮัดสัน แสดงเป็น เว้ส ฮาร์ดิน ในภาพยนตร์เรื่อง The Lawless Breed เมื่อปี ค.ศ. 1952 |
เว้สส่งลูกเมียขึ้นเหนือ
ไปอยู่บ้านพ่อในมณฑลโคมานชี แล้วเดินทางย้อนกลับมาที่บ้านในกอนซาเล้ส พร้อมกับพี่ๆน้องๆ
แมนนิ่ง และพวกเทย์เล่อร์อีกสามสี่คน
ขณะเดินทางผ่านมณฑลบราวน์
(Brown
County) ผู้ช่วยเชอร์ริฟ ชาร์ลส เว็บ (Charles Webb) เจ้าของพื้นที่ ทราบข่าวเข้า ก็เกิดความไม่พอใจ
แถมยังเอ่ยปากตำหนิติเตียนเชอร์ริฟของมณฑลโคมานชี ให้ใครๆได้ยินไปทั่วว่า เป็นไอ้พวกขี้ขลาด ที่ไม่กล้าจับเว้สกับพรรคพวก
แถมยังเอ่ยปากตำหนิติเตียนเชอร์ริฟของมณฑลโคมานชี ให้ใครๆได้ยินไปทั่วว่า เป็นไอ้พวกขี้ขลาด ที่ไม่กล้าจับเว้สกับพรรคพวก
แค่นั้นไม่พอ
คุยเขื่องต่อไปอีกว่า เดี๋ยวฉันจะจับมันเอง
หรือไม่ก็ฆ่ามันทิ้งเสียก่อนพระอาทิตย์ตกนี่แหละ รับรองว่าต้องตายกันไปข้างนึง
จากนั้นจึงรวบรวมผู้ช่วย
กับชาวบ้านได้อีกจำนวนหนึ่ง พากันไปที่สนามแข่งม้า เพื่อจะจับตัวเว้ส
หลังจากทราบว่ากำลังแทงม้าอยู่ที่นั่น
เว้สครั้งนี้
พกปืนสองกระบอก คอยระวังตัวอยู่แล้ว และเพื่อความไม่ประมาท ก็จัดการให้แมนนิ่งและพรรคพวกทุกคน
ติดอาวุธครบมือเพียบเช่นกัน และคอยเฝ้าสังเกตการณ์ ดูความเคลื่อนไหวของพวกตำรวจไปด้วย
ทุกคนต่างรู้จักหน้าค่าตาของผู้ช่วยฯเว็บ
พอเห็นว่าเข้ามาป้วนเปี้ยนอยู่ในสนามม้า ก็กระจายกำลังกันติดตาม
คุมเชิงไว้ไม่ให้คลาดสายตา
ผู้ช่วยฯเว็บ
เริ่มรู้ตัวว่า กำลังตกอยู่ท่ามกลางวงล้อมของพวกเว้ส ขืนลุยต่อไป คงได้ตายเสียก่อนที่จะกำจัดเว้สได้อย่างที่คุยโวไว้
จึงสงวนท่าทีอยู่ ไม่กล้าเปิดฉากท้าทาย
เย็นนั้น
หลังจากจบการแข่งม้า เว้สชนะได้รางวัลมากมาย ประกอบกับเป็นวันครบรอบวันเกิดปีที่
21 ของเว้สพอดี
ทุกคนจึงแห่กันไปฉลองกันในซาลูนแห่งใหญ่ที่สุดในเมือง
ท่ามกลางความไม่พอใจของชาวบ้านกลุ่มใหญ่ ที่เสียพนันให้กับเว้ส พยายามก่อกวน บ้างด้วยการโห่หาเรื่อง บ้างก็ตะโกนด่าท้าทาย
ทุกคนจึงแห่กันไปฉลองกันในซาลูนแห่งใหญ่ที่สุดในเมือง
ท่ามกลางความไม่พอใจของชาวบ้านกลุ่มใหญ่ ที่เสียพนันให้กับเว้ส พยายามก่อกวน บ้างด้วยการโห่หาเรื่อง บ้างก็ตะโกนด่าท้าทาย
แต่เว้สกับพรรคพวก
ไม่ยอมตอบโต้ (คงจะเห็นว่าเป็นเพียงม็อบกระจอกๆ ไม่มีน้ำยาอะไร)
ผู้ช่วยฯเว็บ
ถือโอกาสใช้สถานการณ์นี้ให้เป็นประโยชน์ นำพวกของตนบุกเข้าเผชิญหน้ากับเว้สทันที ทำยืดอกซ่อนมือข้างหนึ่งไว้ข้างหลัง
ท่าทางมั่นใจเต็มร้อย ว่าตัวเองเป็นต่อ
เว้สเอ่ยปากถามก่อนว่า
ท่านชื่อเว็บใช่หรือไม่
เว็บตอบว่า
ถูกต้องแล้ว
เว้สถามต่อว่า
ท่านมีหมายจับหรือเปล่า ชื่อของฉันคือ จอห์น เว้สลี่ย์ ฮาร์ดิน
เว็บตอบว่า
ฉันรู้ว่าแกคือใคร ฉันไม่มีหมายจับหรอก
เว้สถามอีกว่า
แล้วท่านถืออะไรอยู่ในมือข้างหลัง
เว็บค่อยๆเลื่อนมือออกมาข้างหน้า
แบมือออกช้าๆ
ปรากฏว่า
เป็นก้นซิการ์ที่ดับแล้ว พรรคพวกที่ยืนอยู่ข้างหลังต่างโห่ร้องชอบใจ
เว้สพูดต่อว่า ฉันได้ยินเชอร์ริฟของมณฑลบราวน์พูดว่า จะจับฉันหรือไม่ก็ฆ่าฉันทิ้งเสียก่อนพระอาทิตย์ตกดิน
รับรองว่าต้องตายกันไปข้างนึงแน่ ขอทำหน้าที่แทนเชอร์ริฟของมณฑลโคมานชีผู้ขี้ขลาดหน่อย
เว็บตอบว่า
ฉันไม่ใช่เชอร์ริฟของมณฑลบราวน์ เป็นแค่ผู้ช่วย
และฉันไม่จำเป็นจะต้องรับผิดชอบอะไรกับสิ่งที่เชอร์ริฟพูดไว้ นอกจากนี้แล้วฉันยังคิดว่า
เชอร์ริฟของมณฑลโคมานชีเป็นเจ้าหน้าที่ผู้มีความกล้าหาญเด็ดเดี่ยว
และเป็นสุภาพบุรุษเต็มตัว
เว้สกล่าวตอบทันทีว่า
อ้าว เป็นอย่างนั้นหรอกหรือท่าน งั้นก็จบ เราไม่มีอะไรต้องขัดแย้งกันอีก
ขอเชิญท่านร่วมดื่มและสูบซิการ์ด้วยกันหน่อยไหม
เว็บใจเต้นตึ้กตั้ก
แทบจะซ่อนอาการไว้ไม่อยู่ รีบตอบทันทีเช่นกันว่า
ได้สิท่าน
และด้วยความเชื่อมั่นเต็มที่ว่า
ลูกไม้ของตนได้ผลแล้ว ก็เลื่อนมือขวาลงไปที่ปืนทันที ขณะที่เว้สกำลังหมุนตัวหันไปสั่งเหล้ากับบาร์เท็นเดอร์
หวังใช้จังหวะที่เว้สตายใจไม่ทันระวังตัวนี้ เป็นโอกาสที่จะชักปืนยิงได้ก่อน ในระยะกระชั้นชิด
หวังใช้จังหวะที่เว้สตายใจไม่ทันระวังตัวนี้ เป็นโอกาสที่จะชักปืนยิงได้ก่อน ในระยะกระชั้นชิด
แต่แล้ว
กลับมีใครคนหนึ่งตะโกนขึ้นว่า เฮ้ยระวัง!
เพียงเท่านั้น
ประสาทของเว้สก็ตอบสนองโดยอัตโนมัติ สั่งการให้หมุนตัวกลับ มือชักปืนออกจากซอง ยิงเปรี้ยงเข้าใส่เว็บก่อนทันที
เสียงปืน .44 ของเว้สคำรามดังลั่นสนั่นก้องบาร์ โดยที่ปืนของเว็บยังไม่ทันจะพ้นซองเสียด้วยซ้ำ
เสียงปืน .44 ของเว้สคำรามดังลั่นสนั่นก้องบาร์ โดยที่ปืนของเว็บยังไม่ทันจะพ้นซองเสียด้วยซ้ำ
และเพื่อให้ฟังดูสะใจได้อารมณ์
แบบนิยายคาวบอยคลาสสิค ก็ต้องบรรยายต่อด้วยครับว่า ...ร่างของเว็บทรุดฮวบลงไปกองกับพื้น
สิ้นใจไปทันที ท่ามกลางเมฆหมอกแห่งควันปืนที่แผ่ปกคลุมไปทั่งทั้งบาร์ ภายนอกนั้น หากแลออกไปตามเส้นทางของถนนจนสุดขอบฟ้า
ก็จะเห็นพระอาทิตย์ดวงโต กำลังค่อยๆเคลื่อนลับขอบฟ้าสีแดงฉานของยามเย็นไปทีละน้อย…
ทุกอย่างนิ่งเงียบลงชั่วขณะ
จากนั้น เสียงอื้ออึงและเสียงปืนก็เริ่มดังขึ้นจากบรรดาเหล่าม็อบ ต่างกรูกันเข้ามาจะเล่นงานเว้ส
จากนั้น เสียงอื้ออึงและเสียงปืนก็เริ่มดังขึ้นจากบรรดาเหล่าม็อบ ต่างกรูกันเข้ามาจะเล่นงานเว้ส
เว้สกับพรรคพวก
ช่วยกันต่อสู้อย่างสุดกำลัง ตีฝ่าพวกม็อบ หนีออกนอกเมืองไปได้อย่างหวุดหวิด
แต่หลายคนโชคร้ายหนีไม่พ้น ถูกพวกม็อบจับรุมประชาทัณฑ์ ถึงตายไปก็หลายคน
แต่หลายคนโชคร้ายหนีไม่พ้น ถูกพวกม็อบจับรุมประชาทัณฑ์ ถึงตายไปก็หลายคน
คนหนึ่งในนั้นคือ
โจ ฮาร์ดิน พี่ชายแท้ๆของตัวเอง
ส่วนหนึ่งของหนังสือเกี่ยวกับเรื่องราว ของ เว้ส ฮาร์ดิน ที่ทยอยพิมพ์ออกมา กันมากมายในท้องตลาดจนถึงปัจจุบัน |
เว้สเริ่มรู้สึกเข็ดหลาบขึ้นบ้างหลังจากงานนี้ อีกทั้งค่อนข้างแน่ใจว่า เท็กซัสที่ตัวเองถือว่าเป็นบ้านมาตลอด บัดนี้ดูจะไม่ค่อยปลอดภัย หรือมีแต่ญาติสนิทมิตรสหายที่ไว้ใจได้ เหมือนแต่ก่อนอีกแล้ว
จึงฝากลูกเมียของตนไว้กับพ่อแม่
ส่วนตัวเองหลบหนี ออกไปตั้งหลักอยู่ในรัฐอลาบามา
ใช้ชื่อปลอมว่า เจมส์ ดับเบิ้ลยู. สเวน (James W. Swain) ประกอบอาชีพค้าคายปศุสัตว์ และเปิดกิจการซาลูน
ใช้ชื่อปลอมว่า เจมส์ ดับเบิ้ลยู. สเวน (James W. Swain) ประกอบอาชีพค้าคายปศุสัตว์ และเปิดกิจการซาลูน
ลูกเมียของเว้ส
เดินทางไปเยี่ยมเว้สที่อลาบามา เมื่อเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1876
โดยมีพี่เมีย ชื่อ บราวน์ เบาเว่น (Brown Bowen) ผู้กำลังหนีคดีฆาตกรรมที่เท็กซัส ติดตามไปขอลี้ภัยอยู่ด้วย
โดยมีพี่เมีย ชื่อ บราวน์ เบาเว่น (Brown Bowen) ผู้กำลังหนีคดีฆาตกรรมที่เท็กซัส ติดตามไปขอลี้ภัยอยู่ด้วย
หลังจากนั้นไม่กี่สัปดาห์
บราวน์ก็ทำสิ่งหนึ่งที่ไม่ฉลาดนัก นั่นคือ เขียนจดหมายถึงบ้านที่เมืองกอนซาเล้ส เล่าให้พ่อตัว
(ก็คือพ่อตาของเว้ส) ฟังว่า ตนกับเว้สหลบซ่อนตัวอยู่ที่ไหน
ก่อนหน้านั้นไม่นาน
มีชายหนุ่มท่าทางขยันขันแข็ง ชื่อ จอห์น ดันแค่น (John Duncan)
เข้ามาติดต่อกับพ่อตาของเว้ส บอกว่า สนใจจะซื้อกิจการร้านโชว์ห่วย (General
Store) ของบราวน์ ที่ติดป้ายบอกขายอยู่
พ่อตาของเว้ส
เห็นดันแค่นหน่วยก้านเอาเรื่องเอาราวดี ก็เลยขายให้
จากนั้น
ดันแค่นก็เริ่มสนิทสนมกับพวกตระกูลเบาเว่น ถึงขั้นแวะมาร่วมสังสรรค์กันเป็นประจำ
สามารถเข้านอกออกในที่บ้านของพวกเบาเว่นได้ตลอดเวลา
แท้จริงแล้ว
จอห์น ดันแค่น เป็นตำรวจลับในสังกัด เท็กซัส เรนเจอร์ส์
ถูกส่งให้มาทำหน้าที่สืบสวนหาตัวเว้ส ตามคำสั่งของสารวัตร จอห์น อาร์มสตรอง (John
Armstrong) มือปราบฝีมือดีของ เท็กซัส เรนเจอร์ส์
ผู้มีความมุ่งมั่นที่จะตามจับตัวเว้ส เพื่อเอาเงินรางวัลนำจับ 4,000 เหรียญ หรือประมาณเกือบสองแสนบาท ที่ผู้ว่าการรัฐตั้งไว้
ดันแค่นแอบค้นอ่านจดหมายทุกฉบับ
ที่ส่งมาที่บ้านของเบาเว่น และพบจดหมายของบราวน์
จากนั้นไม่นาน
ตำรวจลับของ เท็กซัส เรนเจอร์ส์ จำนวนหนึ่ง ก็ถูกส่งไปสะกดรอยและติดตามความเคลื่อนไหวของเว้ส
ชนิดไม่ให้คลาดสายตา
จนในที่สุด
ตำรวจลับ 4 คน ด้วยความร่วมมือจากตำรวจท้องที่ของเมืองเพ็นซาโคล่า (Pensacola) ในรัฐฟลอริดา พากันปลอมตัวเป็นผู้โดยสาร
ขึ้นรถไฟตามหลังเว้สไปอย่างกระชั้นชิด ขณะกำลังจะเดินทางกลับอลาบามา
พอเว้สลงนั่งประจำที่ปุ๊บ
ทั้งหมดก็กลุ้มรุม ตามลงนั่งทับตัวเว้สเอาไว้ปั๊บ
แล้วจับใส่กุญแจมือได้สำเร็จโดยละม่อม เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม กลางฤดูร้อนของปี
ค.ศ. 1877 ในตัวยังพบปืนโค้ลท์ .44 เสียบเอวซ่อนไว้
จอห์น อาร์มสตรอง มือปราบฝีมือดี ของหน่วยตำรวจ เท็กซัส เรนเจอร์ส์ ผู้วางแผนสืบหาเบาะแส จนทราบที่หลบซ่อนตัว ของเว้ส และจับตัว กลับมาดำเนินคดี ที่เท็กซัสได้สำเร็จ |
ศาลชั้นต้นของเท็กซัสตัดสินว่า
เว้สมีความผิด ในคดีเจตนาฆ่าผู้ช่วยเชอร์ริฟ ชาร์ลส์ เว็บ (ทั้งๆที่ตามความจริงแล้วต้องถือว่า เว้สเพียงป้องกันตัวเองจากการถูกลอบยิง)
ให้ลงโทษจำคุก 25 ปี
ว่ากันว่า
ทั้งตำรวจและอัยการ ช่วยกันทำสำนวนอย่างรัดกุม กีดกันและข่มขู่พยานผู้รู้เห็นข้อเท็จจริงทั้งหมด ไม่ให้ไปให้การใดๆ ที่อาจเป็นประโยชน์แก่เว้ส
กะไม่เปิดโอกาสให้เว้สรอดพ้นคดี กลัวว่าจะต้องไปตามจับตัวในวันหลังให้เหนื่อยอีก
กะไม่เปิดโอกาสให้เว้สรอดพ้นคดี กลัวว่าจะต้องไปตามจับตัวในวันหลังให้เหนื่อยอีก
หลังการตัดสิน
เว้สยื่นคำอุทธรณ์
แต่ศาลพิพากษายืน
แถมยังให้เหตุผลเพิ่มเติมน้ำหนักของคำตัดสินอีกด้วยว่า เพื่อให้สาสมกับที่เคยก่อคดีรุนแรงมาแล้วมากมาย ทั้งหลายทั้งปวง
แต่ศาลพิพากษายืน
แถมยังให้เหตุผลเพิ่มเติมน้ำหนักของคำตัดสินอีกด้วยว่า เพื่อให้สาสมกับที่เคยก่อคดีรุนแรงมาแล้วมากมาย ทั้งหลายทั้งปวง
เว้สถูกส่งตัวไปขังไว้ในเรือนจำใหญ่ของรัฐเท็กซัส
ที่เมืองฮั้นท์สวิลล์ (Huntsville
– ถูกต้องแล้วครับ คือเมืองเดียวกันกับที่ท่านผู้นำของเราไปร่ำเรียนหนังสือหนังหาตั้งแต่สมัยยังเป็นตำรวจ
จนได้รับปริญญาด๊อกเตอร์ทางด้านอาชญวิทยา หรือแปลให้เข้าใจง่ายขึ้นอีกหน่อยว่า
วิชาการเกี่ยวกับโจรผู้ร้าย กลับมาใช้บริหารบ้านเมือง ยื้อกับสารพัดม็อบอย่างสนุกสนานอยู่จนทุกวันนี้นั่นแหละครับ)
และด้วยคุณสมบัติความเป็นผู้นำ
ก็ได้พยายามพานักโทษแหกคุก หลายครั้งหลายครา ครั้งหนึ่งถึงขนาดเกือบบุกเข้ายึดคลังอาวุธได้
เป็นที่เอือมระอาของบรรดาผู้คุม แม้จะถูกลงโทษหนักกว่าเดิม ขังเดี่ยว ขังคุกมืด เฆี่ยนตีขนาดไหน ก็ไม่เคยลดละความพยายาม
เป็นที่เอือมระอาของบรรดาผู้คุม แม้จะถูกลงโทษหนักกว่าเดิม ขังเดี่ยว ขังคุกมืด เฆี่ยนตีขนาดไหน ก็ไม่เคยลดละความพยายาม
จนหลายปีผ่านไป
อายุเริ่มมากขึ้น ประกอบกับแหกคุกไม่สำเร็จหลายครั้งจนเบื่อแล้ว
เว้สจึงหันมาคิดว่า ควรต่อสู้กับกฎหมายด้วยกฎหมายจะดีกว่า
เว้สจึงหันมาคิดว่า ควรต่อสู้กับกฎหมายด้วยกฎหมายจะดีกว่า
อาศัยที่ตัวเองก็เคยร่ำเรียนมาทางนี้
มีพื้นฐานอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน และด้วยการสนับสนุนจากทางเรือนจำ
ก็ตัดสินใจถอดเขี้ยวเล็บ
หันมาศึกษาวิชากฎหมายและเทววิทยา (law and theology – ผมเองก็ไม่ใช่นักกฎหมาย เลยไม่รู้ว่าจริงๆแล้วเขาสอนอะไรกัน แต่คงไม่ใช่ให้จบออกมาเป็นเทวดาอยู่เหนือกฎหมายหรอกนะครับ) อย่างเอาจริงเอาจัง
หันมาศึกษาวิชากฎหมายและเทววิทยา (law and theology – ผมเองก็ไม่ใช่นักกฎหมาย เลยไม่รู้ว่าจริงๆแล้วเขาสอนอะไรกัน แต่คงไม่ใช่ให้จบออกมาเป็นเทวดาอยู่เหนือกฎหมายหรอกนะครับ) อย่างเอาจริงเอาจัง
และพยายามปรับปรุงตัวเอง
ให้เป็นนักโทษความประพฤติดี เข้าร่วมกิจกรรมพัฒนาคุณภาพชีวิต ตามด้วยการสมัครเข้าเป็นสมาชิกชมรมโต้วาทีของเหล่านักโทษ
นอกจากจะได้รับเลือกให้เป็นหัวหน้าทีมแล้ว
ยังนำทีมชนะการแข่งขันโต้วาทีในหัวข้อ “การส่งเสริมสิทธิสตรี”
ที่ตนเป็นฝ่ายเสนอเสียด้วย
ตลอดเวลาที่อยู่ในคุก
เว้สได้เขียนจดหมายหาลูกเมีย ญาติพี่น้อง และเพื่อนฝูงอย่างสม่ำเสมอ นับรวมกันแล้วมากกว่า
300 ฉบับ
จดหมายฉบับหนึ่งของเว้ส ที่เขียน ระหว่างติดคุก ส่งไปถึงเจนผู้ภรรยา |
ลองมาดูตัวอย่างกัน
สักฉบับนึงนะครับว่า มือปืนปัญญาชนโรคจิตคนนี้ เขียนจดหมายสอนลูกชาย ด้วยข้อความอย่างไร
(ฉบับนี้เขียนเมื่อวันที่ 7 มีนาคม ค.ศ.1886)
“ลูกเขียนหนังสือและเรียงความได้ดีเกินวัยทีเดียว ทุกครั้งที่ลูกเขียนจดหมาย
จงคิดทบทวนให้ถี่ถ้วนว่าต้องการจะเขียนอะไร นั่นคือ มีอะไรเกิดขึ้น
สมควรพูดอะไรบ้างหากกำลังจะได้พบหน้าพบตากับผู้ที่กำลังเขียนถึงอีกครั้ง…พ่อเคยแนะนำวิธีปรับปรุงสำนวนการเขียนไปหลายอย่างแล้ว หวังว่าลูกคงได้นำไปใช้ให้เป็นประโยชน์
อย่างที่พ่อเคยพูดไว้ก่อนหน้านี้ ลูกทำได้ดีอยู่แล้ว แต่พ่ออยากให้ลูกทำได้ดียิ่งขึ้นอีก
แม่น้ำสายใหญ่ล้วนเริ่มต้นมาจากลำธารเล็กๆ
ต้นไม้ใหญ่ล้วนเติบโตมาจากเมล็ดพันธุ์เล็กๆ มหาบุรุษย่อมเกิดมาจากเด็กน้อยตัวเล็กๆ
ฉันใดก็ฉันนั้น จงตั้งใจเรียนเป็นพิเศษในวิชาคณิตศาสตร์ อ่านเอาเรื่อง หลักภาษา
และการใช้ภาษา จงยึดมั่นในเกียรติ แล้วลูกจะประสบแต่ความสำเร็จ…”
ไม่น่าเชื่อใช่ไหมครับ
ฟังเผินๆ นึกว่าพระกำลังเทศน์เสียอีก
มอลลี่ ลูกสาวคนโตของเว้ส |
จอห์น จูเนียร์ ลูกชายของเว้ส |
พอถึงวันที่
1 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1889 เว้สก็เขียนคำร้องเป็นฎีกา ส่งถึงฝ่ายนิติบัญญัติของรัฐเท็กซัส
ขอให้ทบทวนกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา บทลงโทษทัณฑ์ในคดีอาญา
และระเบียบปฏิบัติต่อนักโทษที่พ้นโทษคุมขังไปแล้วเสียใหม่
มีเหล่านักโทษร่วมลงชื่อในฎีกาฉบับนี้ถึง 97 คน
มีเหล่านักโทษร่วมลงชื่อในฎีกาฉบับนี้ถึง 97 คน
ต่อมาในปีค.ศ. 1892
เว้สก็เขียนจดหมายถึงทนายความคนหนึ่ง ซึ่งเป็นเพื่อนนักเรียนเก่าตั้งแต่สมัยยังเป็นเด็ก
และบัดนี้เป็นสมาชิกแกนนำคนสำคัญคนหนึ่ง ของพรรคเดโมแครต
บรรยายว่า ตนเองเริ่มสุขภาพย่ำแย่ลง ต้องนอนอยู่กับเตียงเป็นส่วนใหญ่ ติดต่อกันมากว่า 8 เดือนแล้ว
บรรยายว่า ตนเองเริ่มสุขภาพย่ำแย่ลง ต้องนอนอยู่กับเตียงเป็นส่วนใหญ่ ติดต่อกันมากว่า 8 เดือนแล้ว
ทนายความคนดังกล่าว
ไม่เคยสนใจว่า อีกร้อยกว่าปีให้หลัง จะมีใครมากระแนะกระแหนว่า เป็นพวกช่วยเหลือผู้ที่ทำความผิดหรือเปล่า
รีบเดินหน้ารณรงค์ผ่านทางรัฐสภาและสื่อมวลชน เรียกร้องให้มีการนิรโทษกรรมให้กับเว้สทันที
รีบเดินหน้ารณรงค์ผ่านทางรัฐสภาและสื่อมวลชน เรียกร้องให้มีการนิรโทษกรรมให้กับเว้สทันที
โดยให้เหตุผลว่า
เว้สได้รับโทษทัณฑ์ตามระบบเก่ามายาวนานเพียงพอแล้ว ขณะนี้ก็กำลังมีการปฏิรูปกฎหมาย
เกี่ยวกับการลงโทษผู้กระทำความผิด
จึงควรจะใช้กรณีของเว้สนี่แหละ เป็นจุดเริ่มต้น
จึงควรจะใช้กรณีของเว้สนี่แหละ เป็นจุดเริ่มต้น
ในปีเดียวกันนั้น
เจน ภรรยาของเว้ส ป่วยและเสียชีวิตลง เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน
หลังจากบรรเทาความเศร้าโศกเสียใจลงได้
เว้สก็รวบรวมความมุมานะเป็นครั้งสุดท้าย ลงมือเขียนวิทยานิพนธ์เพื่อชีวิต
ทำหนังสือขอนิรโทษกรรมตนเอง ส่งตรงถึงผู้ว่าการรัฐเท็กซัส เจมส์ เอส. ฮ็อกก์ (James S. Hogg) เมื่อวันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 1894
หนังสือของเว้สฉบับนี้
ถือเป็นม้าสเตอร์พี้ซ หรือผลงานยอดเยี่ยมชิ้นหนึ่ง ในเชิงการทำสำนวนและวินิจฉัยคดีอาญาในยุคนั้น
เว้สได้บรรยายรายละเอียดของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ระหว่างตนกับผู้ช่วยเชอร์ริฟ ชาร์ลส์ เว็บ เมื่อ 20 ปีก่อน
ที่ทำให้ตนต้องกลายเป็นผู้กระทำความผิด ฐานฆ่าคนโดยเจตนา ถูกตัดสินจำคุกถึง 25 ปี
ว่าข้อเท็จจริงทั้งหมดเป็นอย่างไร ใครตั้งใจจะยิงใครก่อน มีใครเป็นพยานรู้เห็นบ้าง
เหล่าพยานถูกกีดกันจากฝ่ายบ้านเมืองระหว่างการสอบสวนและดำเนินคดี
ไม่ให้เข้าไปให้การด้วยวิธีอย่างไร ศาลตัดสินคดีบนข้อมูลที่ไม่ครบถ้วนอย่างไร
นอกจากนั้นแล้ว
ญาติพี่น้องของตนยังถูกกระทำโดยพวกม็อบ จนถึงตายและบาดเจ็บสาหัสไปหลายคน
โดยไม่มีใครในกลุ่มม็อบถูกตำรวจจับดำเนินคดีเช่นเดียวกับตน ทั้งๆที่เป็นการฆ่าคนตาย
และทำร้ายร่างกายโดยเจตนาอย่างแท้จริง
ผู้ว่าฯฮ็อกก์
และรัฐบาลเท็กซัส ซึ่งบัดนี้เป็นคนของพรรคเดโมแครต
พิจารณาคำร้องขอของเว้สอย่างละเอียดถี่ถ้วน และในที่สุด ก็ออกคำสั่งนิรโทษกรรม
ปล่อยตัวเว้สออกจากเรือนจำเมืองฮั้นท์สวิลล์ เป็นอิสรภาพในกลางปีนั้น
รวมเวลาที่เว้สต้องติดคุกอยู่ทั้งหมด
17 ปี
และเป็นการยืนยันคำพูดของพ่อของเว้ส
เมื่อ 23 ปีที่แล้วว่า ...ตราบใดที่พรรครีพับรีกันของพวกแยงกี้ยังปกครองเท็กซัสอยู่
คงไม่ยอมปรานีกับผู้ที่ทำตนเป็นปฏิปักษ์ต่อรัฐบาลเป็นอันขาด
หากเว้สเกิดพลาดท่าถูกจับได้เมื่อไรละก็
จะไม่มีทางได้รับการพิจารณาอย่างยุติธรรมแน่ รังแต่จะต้องถูกจับใส่กระสอบถ่วงน้ำแต่เพียงอย่างเดียว
คงต้องรอให้พรรคเดโมแครตอันมีฐานเสียงอยู่ทางใต้ได้กลับมาเป็นรัฐบาลเสียก่อน
เว้สจึงจะมีโอกาสได้ต่อสู้คดีอย่างสมศักดิ์ศรี ตามครรลองของกระบวนการยุติธรรมจริงๆ...
หนังสือปล่อยตัวเว้สออกจากคุก โดยคำสั่งของผู้ว่าการรัฐเท็กซัส ให้เว้สได้รับอภัยโทษ สามารถกลับมา เป็นราษฎรเต็มขั้น และมีสิทธิในการ ออกเสียงลงคะแนนเลือกตั้งได้ |
มาบัดนี้
ชื่อเสียงอันเคยโด่งดังของจอห์น เว้สลี่ย์ ฮาร์ดิน ในฐานะมือปืนผู้เหี้ยมโหด
สังหารผู้คนไปแล้วเป็นสิบๆคน ได้กลายเป็นเสมือนนิยายปรัมปราสำหรับผู้คนทั่วไป
เป็นเรื่องไกลตัว มากกว่าจะเป็นเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นกันสดๆร้อนๆไม่นานนี้ไปเสียแล้ว
เป็นเรื่องไกลตัว มากกว่าจะเป็นเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นกันสดๆร้อนๆไม่นานนี้ไปเสียแล้ว
เว้สในวัย
41 ปี กลายเป็นคนแปลกหน้าในถิ่นของตนเอง คนรุ่นเดียวกันที่เคยเป็นพวกพ้อง
หรืออริกันมาแต่ก่อน ส่วนใหญ่ถูกยิงตาย หายหน้าหายตาไปเกือบหมด
แม้แต่
แมนนิ่ง คลีเม้นต์ส ญาติสนิทมิตรแท้ ผู้หมั่นแวะมาเยี่ยมเยียนอย่างสม่ำเสมอระหว่างติดคุก
ก็เสียชีวิตไปก่อน
ลูกเต้าทุกคน
ต่างเติบโตแต่งงานแต่งการ แยกครอบครัวออกไปหมดไม่เหลือ
ด้วยความรู้ความสามารถทางกฎหมายที่ร่ำเรียน
และฝึกฝนมาอย่างช่ำชองในระหว่างติดคุก เว้สตัดสินใจตั้งต้นชีวิตใหม่
เปิดสำนักงานทนายความขึ้นในเมืองกอนซาเล้ส หลังสอบได้เป็นเนติบัณฑิต และเริ่มเขียนหนังสืออัตตชีวประวัติของตนเอง
เปิดสำนักงานทนายความขึ้นในเมืองกอนซาเล้ส หลังสอบได้เป็นเนติบัณฑิต และเริ่มเขียนหนังสืออัตตชีวประวัติของตนเอง
ปรากฏว่า
อาชีพทนายความไปได้ดี มีลูกค้าให้ความนิยมและเชื่อถือ เป็นจำนวนไม่น้อย โดยเฉพาะจากกลุ่มผู้ด้อยโอกาสทางสังคม
และด้วยเลือดความเป็นนักสู้ผู้นำ
ที่ไม่เคยจืดจาง ประกอบกับความเชื่อมั่นว่า ตนยังสามารถสร้างสมบารมีขึ้นใหม่ได้
เว้สได้กระโจนเข้าสู่สนามการเมืองท้องถิ่น ลงสมัครเข้ารับเลือกตั้งจะเป็นเชอร์ริฟ
ก่อนจะแพ้ผู้สมัครจากฝ่ายตรงข้ามไป ด้วยความขมขื่น (แหม มันจะอะไรกันนักหนา ที่จริงแล้ว อย่าว่าแต่จะได้รับเลือกหรือไม่เลยนะครับ ประวัติดุร้ายหลายศพขนาดนี้แล้ว ทางการยังยอมให้เป็นเนติบัณฑิตได้ ว่าความได้ ลงเลือกตั้งได้ ก็ต้องถือว่านายแน่มากแล้ว จะเอาอะไรกันอีก อย่างที่เคยว่าไว้ในครั้งก่อนนั่นแหละครับว่า ไม่มีที่ไหนเหมือนเท็กซัสจริงๆ)
นอกจากความขมขื่นในอาชีพการงานแล้ว
เว้สยังสร้างความขมขื่นให้กับชีวิตส่วนตัวอีก ด้วยการริมีภรรยาใหม่เป็นเด็กสาวอายุคราวลูก
ก่อนจะถูกเมียใหม่ทิ้งไป หลังจากแต่งกันได้เพียงเดือนเดียว (อันนี้ก็ต้องถือว่าสมควรแล้ว)
ก่อนจะถูกเมียใหม่ทิ้งไป หลังจากแต่งกันได้เพียงเดือนเดียว (อันนี้ก็ต้องถือว่าสมควรแล้ว)
เมื่อไม่สามารถนำความขมขื่นไปทิ้งแม่โขงได้
เว้สจึงตัดสินใจย้ายไปปักหลักอยู่ที่เมือง เอล พาโซ่ (El Paso) ตรงชายแดนด้านตะวันตกของเท็กซัส เปิดสำนักงานทนายความขึ้นอีกครั้ง
เมื่อเดือนเมษายน ค.ศ. 1895
เอล
พาโซ่ เวลานั้น เป็นแหล่งหลบซ่อนตัวและทำมาหากิน ของบรรดาพวกนอกกฎหมาย ที่หนีคดีอุกฉกรรจ์มาจากรัฐอื่นๆ
ทั้งในสหรัฐอเมริกาและเม็กซิโก
พอมาชุมนุมกันอยู่ที่นี่มากขึ้น
ก็เริ่มลักขโมย หรือปล้นกันเอง หรือไม่ก็ทะเลาะเบาะแว้ง ตีรันฟันแทงกันเองต่อไป ตามประสาสันดาน
จนกลายมาเป็นลูกความของเว้สมากมาย
ผู้คนในเมือง
เอล พาโซ่ ส่วนใหญ่ และลูกความของเว้สทุกคน
ต่างเคยได้ยินได้ฟังเรื่องราวในอดีตอันโด่งดังของเว้สมาก่อน
เมื่อได้มาพบตัวจริง หรือได้รับความช่วยเหลือจากเว้สด้วยตนเอง ต่างก็เกิดอาการเลื่อมใสศรัทธา แซ่ซ้องสรรเสริญปากต่อปากกันไปทั่ว
เมื่อได้มาพบตัวจริง หรือได้รับความช่วยเหลือจากเว้สด้วยตนเอง ต่างก็เกิดอาการเลื่อมใสศรัทธา แซ่ซ้องสรรเสริญปากต่อปากกันไปทั่ว
เว้สได้รับปืนโค้ลท์ ดับเบิ้ลแอ๊คชั่น รุ่นสายฟ้าฟาด (Lightning) ขนาด .38 หมายเลขประจำปืน 84304 กระบอกนี้ มาจากลูกความคนหนึ่งของตน พร้อมนาฬิกาพกอีกหนึ่งเรือน สลักชื่อผู้ให้ คือ J.B. MILLER ไว้บนฝา |
หนังสือพิมพ์ท้องถิ่น
ก็ชอบลงข่าวเกี่ยวกับเว้ส ไม่ก็พูดถึงอย่างสม่ำเสมอ ทำให้เว้สกลายเป็นบุคคลสำคัญของเมือง
ได้รับการยกย่องนับถือจากชาวบ้านไปอย่างง่ายดาย
ความรู้สึกว่า
ตัวเองเป็นเทวดา เริ่มกลับเข้ามาสิงสถิตย์อยู่ในกายและใจอีกครั้ง
เพียงแต่ว่า
ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย และเป็นคราวที่เทวดาเว้สถึงครา ต้องจุติไปอยู่ปรโลกอย่างไม่มีเงื่อนไข
เหตุเกิด
หลังจากเว้สบุกเข้าไปด่าทอนายตำรวจหนุ่มรายหนึ่ง ชื่อ จอห์น เซ็ลแมน จูเนียร์ (John Selman,
Jr.) ด้วยถ้อยคำรุนแรง และข่มขู่กันกลางถนนต่อหน้าผู้คนทั่วไป
หลังจากตำรวจหนุ่มรายนี้ สั่งจับกุมแม่ม่ายคนหนึ่ง ที่เว้สกำลังติดพันอยู่ ข้อหาพกพาอาวุธในที่สาธารณะ โดยไม่ได้รับอนุญาต
หลังจากตำรวจหนุ่มรายนี้ สั่งจับกุมแม่ม่ายคนหนึ่ง ที่เว้สกำลังติดพันอยู่ ข้อหาพกพาอาวุธในที่สาธารณะ โดยไม่ได้รับอนุญาต
ก่อนหน้านั้นไม่นาน
เว้สก็เคยโดนจับ ด้วยข้อหาเดียวกันมาแล้ว
พ่อของเซ็ลแมน
ซึ่งชื่อจอห์นเหมือนกัน เป็นสารวัตรตำรวจอยู่ที่นี่ อายุ 58 แล้ว
อดีตเคยเป็นมือปราบประเภทปืนโหด ทำวิสามัญพวกเหล่าร้ายมาแล้วมากมาย ทั้งในเท็กซัสและนิวเม็กซิโก
เซ็ลแมนผู้พ่อ
ทราบข่าวนี้ด้วยความไม่พอใจอย่างยิ่ง และได้เผชิญหน้ากับเว้ส ในตอนหัวค่ำของคืนวันที่
19 สิงหาคม ค.ศ. 1895
คงพอเดาออกนะครับ
ว่างานนี้ ทั้งคู่ต้องไม่ยอมเสียเวลาไปกับการโอภาปราศรัย
หรือพูดจาภาษาดอกไม้กันแน่
แต่ก็ยังไม่มีอะไรรุนแรงเกิดขึ้น
(ถูกแล้วครับต้องรออีกสักพักหนึ่ง)
ตกดึกประมาณห้าทุ่ม
เว้สกำลังโยนลูกเต๋าอยู่ในแอ๊คมี่ซาลูน (Acme Saloon - หากเรียกแบบไทยคงต้องใช้ว่า
บาร์ยอด) อย่างเพลิดเพลิน
ยืนหันหลังให้ประตูทางเข้า อันถือเป็นการฝ่าฝืนกฎข้อสำคัญอย่างยิ่งของมือปืนทุกคน
ยืนหันหลังให้ประตูทางเข้า อันถือเป็นการฝ่าฝืนกฎข้อสำคัญอย่างยิ่งของมือปืนทุกคน
จะด้วยความประมาท
หรือคิดว่าตัวเองอยู่ยงคงกระพัน ไม่มีวันที่ใครจะโค่นลงได้ หรือทั้งสองอย่าง ก็ไม่อาจทราบแน่ชัด
แต่ที่แน่ๆคือ
จอห์น เซ็ลแมน ได้ใช้โอกาสอันเหมาะที่สุด ไม่มีวันจะหาได้ที่ไหนอีกแล้วนี้
เดินเข้ามาข้างหลังอย่างเงียบๆ
แล้วชักปืน โค้ลท์ ซิงเกิ้ล แอ๊คชั่น อาร์มี่ ของตนออกมาจากซอง ง้างนกชี้ไปที่หัวเว้ส ปล่อยกระสุนออกไปหนึ่งนัด
แล้วชักปืน โค้ลท์ ซิงเกิ้ล แอ๊คชั่น อาร์มี่ ของตนออกมาจากซอง ง้างนกชี้ไปที่หัวเว้ส ปล่อยกระสุนออกไปหนึ่งนัด
จากนั้นง้างนกยิงซ้ำทันทีอีก 3 นัด เข้าที่ลำตัวของเว้ส ตั้งแต่ยังไม่ล้มลง
ภาพจำลองเหตุการณ์ ขณะเว้สกำลังยืน ทอดลูกเต๋าอยู่ในแอ๊คมี่ซาลูน ก่อนถูกยิง |
ภาพจำลองเหตุการณ์ ตอนที่ จอห์น เซ็ลแมน ยิงเว้สจากข้างหลังด้วยปืนโค้ลท์ .45 |
เว้สขาดใจตายทันที
หลังจากโดนยิงนัดแรกที่หัว
กระสุน .45 เจาะเข้าตรงเหนือท้ายทอย ทะลุออกทางหน้าผากตรงเหนือตาข้างซ้าย
แล้ววิ่งเลยออกไปอีก กระทบกับขอบกระจกเงา ที่ติดอยู่ข้างฝาหลังเคาน์เตอร์บาร์
กระดอนกลับเล็กน้อย ก่อนตกลงกับพื้น
กระสุน .45 เจาะเข้าตรงเหนือท้ายทอย ทะลุออกทางหน้าผากตรงเหนือตาข้างซ้าย
แล้ววิ่งเลยออกไปอีก กระทบกับขอบกระจกเงา ที่ติดอยู่ข้างฝาหลังเคาน์เตอร์บาร์
กระดอนกลับเล็กน้อย ก่อนตกลงกับพื้น
กระสุนเม็ดดังกล่าว
ได้กลายเป็นของสะสมของเจ้าของซาลูน ผู้เก็บรักษาเอาไว้อย่างดี
ด้วยการใส่ขวดแก้ววางโชว์ลูกค้า และตกทอดผ่านมือนักสะสมอีกหลายคน มาจนถึงทุกวันนี้
หัวกระสุนขนาด .45 ที่ปลิดชีวิตของเว้ส กลายเป็นของสะสมสำหรับนักเล่นของเก่า |
เซ็ลแมนถูกจับ ในข้อหาฆ่าคนตายโดยเจตนา
แต่ด้วยฝีมือของ
อัลเบิร์ต ฟอลล์ ทนายความชื่อดังผู้มีอิทธิพล คนเดียวกับที่ปรากฏอยู่ในเรื่อง แพ็ท
การ์เร็ตต์ มือปราบผู้อาภัพ คนนั่นแหละครับ
สามารถแก้ต่าง ให้กลายเป็นเรื่องป้องกันตัวเอง พ้นผิดไปได้ง่ายๆ อย่างที่ใครๆก็คาดไม่ถึง
สามารถแก้ต่าง ให้กลายเป็นเรื่องป้องกันตัวเอง พ้นผิดไปได้ง่ายๆ อย่างที่ใครๆก็คาดไม่ถึง
โดยแนะนำให้เซ็ลแมนให้การกับศาลว่า
ตนเองมองสบตากับเว้สในกระจกเงา แล้วเห็นเว้สทำท่าจะชักปืน
เลยต้องยิงก่อน เพื่อป้องกันตัว (เดี๋ยวอ่านจบแล้ว โปรดอย่าลืมไปทดลองยืนสบตากันในกระจกเงาที่อยู่ห่างออกไปสักเมตรสองเมตร ภายใต้แสงไฟสล้วๆตอนห้าทุ่มดูนะครับ)
เลยต้องยิงก่อน เพื่อป้องกันตัว (เดี๋ยวอ่านจบแล้ว โปรดอย่าลืมไปทดลองยืนสบตากันในกระจกเงาที่อยู่ห่างออกไปสักเมตรสองเมตร ภายใต้แสงไฟสล้วๆตอนห้าทุ่มดูนะครับ)
จอห์น เซ็ลแมน สารวัตรตำรวจของเมือง เอล พาโซ่ ผู้มีเรื่องขัดแย้งรุนแรงกับเว้ส และสังหารเว้สด้วยการยิงข้างหลัง |
จอห์น
เว้สลี่ย์ ฮาร์ดิน นักเลงปืนผู้มีชื่อเสียงโด่งดังของเท็กซัส จึงต้องยุติบทบาทอันโลดโผนของตนลงอย่างถาวร
เมื่ออายุยังไม่ทันจะเต็ม 42 ปีดี
ดังที่เกริ่นไว้แล้ว
ทั้งในคราวก่อนและคราวนี้นะครับว่า
หากพิจารณาดูพฤติกรรมทั้งหมดที่นำมาเล่าสู่กันฟัง ก็คงหนีไม่พ้น ที่จะต้องจัดอยู่ในประเภทผู้ร้าย
ถึงแม้เจ้าตัวจะได้แสดงความรักพวกพ้องและวงศาคณาญาติ มีความอุตสาหะขยันหมั่นเรียน พากเพียรทำงานหนักต่อสู้ชีวิตอย่างไม่เคยย่อท้อ มีความเฉลียวฉลาดหลักแหลมเหนือผู้อื่น ให้เห็นประจักษ์สักขนาดไหนก็ตาม
ถึงแม้เจ้าตัวจะได้แสดงความรักพวกพ้องและวงศาคณาญาติ มีความอุตสาหะขยันหมั่นเรียน พากเพียรทำงานหนักต่อสู้ชีวิตอย่างไม่เคยย่อท้อ มีความเฉลียวฉลาดหลักแหลมเหนือผู้อื่น ให้เห็นประจักษ์สักขนาดไหนก็ตาม
แต่ก็ไม่ใช่ว่า
ฝ่ายตรงข้ามกับผู้ร้ายอย่างเว้ส จะต้องกลายเป็นผู้ดีไปโดยอัตโนมัตินะครับ
อย่างที่เห็นๆกันอยู่ แต่ละพวกนั้นใช่ย่อยเสียที่ไหน
มองดูภาพรวมแล้ว
คงหาผู้ดีจริงๆได้ยาก จะมีก็แต่พวกผู้ดีผู้ร้าย กับผู้ร้ายผู้ดีเท่านั้น
อย่าลืมเปิดคำจำกัดความในตอนที่แล้วดูนะครับ
และหากจะให้สนุกมากขึ้น
ก็ต้องอย่าลืมเปรียบเทียบอีกด้วยว่า ระหว่างของเท็กซัสกับของบ้านเรานั้น
เอาเข้าจริงแล้ว...
ใครแน่กว่ากัน...
มาร์แชลต่อศักดิ์
พฤศจิกายน
2545